Green thumb

03B74D3E-3905-48A4-B7A8-E4E0F51D2B1E

ในยุคที่ใครๆ หันมาปลูกต้นไม้กัน ฉันเป็นอีกหนึ่งคนที่อยากปลูกกับเค้าบ้าง (ใครๆ ก็อยากมีรูป instagram สวยๆ นี่นา) แต่ปัญหาคือเป็นคนมือร้อน ปลูกอะไรกับเค้าไม่ค่อยขึ้น จึงมักเป็นฝ่ายจัดหา(มาปลูก)มากกว่าจะเป็นฝ่ายดูแลให้งอกงาม แล้วก็ได้แต่ชื่นชมสีเขียวของคนรอบตัวแทน

การได้ปลูกต้นไม้เป็นการได้ดูสิ่งที่เราเฝ้ารักและดูแลเติบโตขึ้น ออกดอก ออกผล บางครั้งอาจจะมีใบเหลืองไปบ้าง แมลงกินบ้าง แต่ต้นไม้ก็เติบโตไปโดยมีเราที่สังเกตุและเรียนรู้อยู่ข้างๆ

มาลองคิดดูการปลูกต้นไม้ อาจจะไม่ต่างอะไรมากกับการเลี้ยงลูก ที่เราเฝ้าใส่ใจดูแล เติบโต และเรียนรู้ไปด้วยกัน

ลูกมักจะมีเหตุการณ์เล็กๆ ชวนยิ้มให้เราได้เสมอ อย่างล่าสุดที่ครูให้ผงแป้ง วัสดุธรรมชาติ (พวกลูกสน ใบไม้ กิ่งไม้แห้ง) และบัตรตัวอักษรมา โดยที่คุณครูไม่ได้เขียนบอกมาว่าแป้งนั้นเอาไว้ทำอะไร แต่มีรูปตัวอย่างการเอาวัสดุธรรมชาติมาเรียงเป็นตัวอักษร (อันที่จริงครูก็ส่ง instruction มาให้ทาง application น่ะแหละแต่แม่ยังไม่ได้ดู)

พอลจัดแจงบอกพี่เลี้ยงว่าแป้งนั้นเอาไว้ทำกาว (แป้งเปียก) พอลกับพี่ภาจึงจัดแจงผสมแป้งกับน้ำเอาขึ้นตั้งไฟและกวน กวนเท่าไหร่ก็ไม่เหนียวซะที พอลเลยตัดสินใจเติมกาวลาเท็กซ์ลงไปซะเลย เสร็จสรรพก็เอามาแปะวัสดุธรรมชาติทำเป็นตัวอักษร A B C

ตอนเย็น ฉันมีเวลาได้ดู app ที่ครูใช้สื่อสาร ก็มาถึงบางอ้อ…ว่าแป้งนั่นสำหรับทำแพนเค้ก และก็ถึงบางโอ้ว… ว่าลูกชั้นเอาไปทำแป้งเปียกด้วย

เห็นดังนั้นก็เลยส่งข้อความหาครูในความเปิ่นของบ้านเรา คุณครูก็ตอบข้อความมาอย่างน่ารักเชียว

ฉันรู้สึกว่าพอลโชคดีจังที่มีคุณครูที่มองโลกในแง่ดี และเชื่อว่าการเรียนรู้ของพอลจะไม่ถูกปิดกั้น แม่เองก็ได้เรียนรู้ที่จะให้โอกาสและขำไปกับความผิดพลาดได้ ขอบคุณความน่ารักและความรู้สึกดีๆ ที่ส่งพลังมาให้ในวันฟ้าหม่นวันนี้

สมองใครคิดสมองคนนั้นก็พัฒนา

สิ่งหนึ่งที่เราควรคำนึงถึง แต่มักจะลืมทำกันก็คือเรื่องของการเปิดโอกาส การเปิดพื้นที่ให้เด็กได้คิดและทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง

เมื่อโรงเรียนของลูกเชิญคุณหมอท่านหนึ่งซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่อง Floor time มาอบรมให้ผู้ปกครองนักเรียน อ.1 ฟัง คุณหมอพูดประโยคหนึ่งว่า “สมองใครคิดสมองคนนั้นพัฒนา” 

หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ใหญ่ “ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน” อย่างเราๆ คิดแทนเด็ก ด้วยคิดว่าเรามีประสบการณ์มาก่อน ย่อมรู้ดีกว่า ดังนั้นจึง “ป้อน” ข้อมูลสำเร็จรูปให้เด็กได้ทันที 

การทำอย่างนี้ ดูเหมือนจะดี เพราะไม่ต้องมาลองผิดลองถูกกันอีก แต่ถามว่าเด็กได้ลองคิดหรือไม่ และสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดแทนให้นั้นถูกจริงหรือ มันจะมีคำตอบอื่นที่ถูกกว่าไหม

ท่าทีของพ่อแม่ที่ทางโรงเรียนแนะนำคือ การนิ่งและเฝ้าสังเกตุ เปิดโอกาสให้ลูกได้คิด ได้ลองทำ (ไม่ว่าจะผิดหรือถูก) พูดง่ายๆ คือ ให้พ่อแม่หุบปากและเปิดใจ ต่อเมื่อลูกมีโอกาสแล้ว สมองลูกก็จะได้คิดและได้พัฒนานั่นเอง

วันนี้ น้องพอลเล่นรถของเล่นแล้วผลักแรงจนรถเข้าไปอยู่ใต้เตียง

พี่พีทรีบมาบอกว่าทุกคนไม่ต้องช่วย พี่พีทจัดการเอง

พ่อกับแม่ก็นิ่งดูว่าพี่พีทจะ”จัดการ”ยังไง

สักพัก พี่พีทไปหยิบปากกามา บอกว่าเดี๋ยวเอาปากกาเขี่ย (ทั้งที่รถเข้าไปลึกเกือบกลางเตียง)

พ่อกับแม่นึกถึงคำพูดของหมอขึ้นมาได้ เลยไม่ว่าอะไร และคอยดูว่าลูกจะทำยังไง

พีทลองเอาปากกาเขี่ย แต่ไม่ถึง จึงเดินไปหยิบม้วนกระดาษห่อของขวัญมา แล้วเขี่ยรถออกมาได้สำเร็จในที่สุด 

พอเขี่ยออกมาได้ แม่เลยถามว่าทำไมใช้ม้วนกระดาษห่อของขวัญเขี่ย ก็ได้คำตอบว่า “มันยาวพอไง”

แม่กับพ่อก็แอบปลื้มว่าลูกรู้จักคิดแก้ปัญหาเป็นเหมือนกัน

เลยอยากแชร์ให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นได้ลองทำกันดูบ้าง ไม่แน่ว่าลูกของคุณอาจมีไอเดียดีๆ ให้คุณได้ทึ่งก็เป็นได้

how to enjoy life ฉบับเด็กน้อย – 1

yoghurtในวันเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายอย่างชีวิตคนเมืองในปัจจุบัน

เราต่างเสาะแสวงหา ไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ที่เราเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความสุข

หลายสิ่งดูจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก หากแต่เมื่อเราได้สิ่งนั้นมา เรากลับไม่รู้สึกสุขอย่างที่คาดหวัง

***

เช้าวันนี้ ขณะที่แม่เดินไปหาของกินยามเช้าที่ตู้เย็น…

“แม่ๆ เกิร์ตๆ” เสียงคุณลูกเรียกร้องหาของโปรด

“ครับ เดี๋ยวแม่หยิบให้”

คุณลูกชายตักโยเกิร์ตกินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่กลัวปากเลอะ ไม่กลัวไม่หล่อ …

“พี่พีทชอบโยเกิร์ตไหมครับ”

“ชอบเกิร์ต” ^_^

***

แค่นี้เด็กน้อยก็มีความสุขแล้ว และแม่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย

อาหารมื้อแรก

rice

แม้จะเคยทำอาหารมาหลายครั้ง แต่การทำอาหารมื้อแรกให้ลูกทำให้แม่เกิดอาการประหม่าไม่น้อย

อาหารมื้อแรกของพีทตามที่คุณหมอแนะนำคือ ข้าวบดผสมนมแม่ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการหัดให้พีทกลืนมากกว่าที่จะเป็นการให้พีทกินอาหารแบบจริงจัง คุณหมอบอกว่าปริมาณที่กินได้ไม่สำคัญ ถ้าได้ซักช้อนสองช้อน (ชา) ก็นับว่าใช้ได้ดี และแนะว่าให้ใช้คาร์ซีทเป็นพร็อพให้ลูกนั่งได้

แม่เลยได้โอกาสฉลองเซ็ตทำอาหารคอมบิที่ได้มาเป็นของขวัญ

ขั้นตอนการทำก็ไม่ยากค่ะ เพียงแค่นำนมแม่ที่ปั๊มเอาไว้ประมาณ 1 ออนซ์ มาผสมกับข้าวสวยปริมาณซัก 1 ช้อนชาที่ครูดผ่านตะแกรงและคนให้เข้ากัน จะได้ข้าวบดนมแม่เหลวๆ

เวลาป้อนใช้ช้อนสำหรับเด็กที่ปลายช้อนเป็นยาง จะได้ไม่ระคายเคืองเหงือกของลูก

โดยส่วนตัวชอบช้อนของคอมบิเพราะขนาดพอดีกับปากพีท ข้อเสียอย่างหนึ่งของช้อนปลายยางก็คือเวลาใช้ตักพวกฟักทองหรือแครอท มักจะมีสีติดล้างไม่ค่อยออก

 

สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้

การได้เป็นแม่เป็นการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่

ทำให้ได้รู้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้

และรอให้เราได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก

พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก

แต่ลูกก็เป็นครูคนสำคัญสำหรับแม่เช่นกัน

ครูตัวน้อยของฉัน
ครูตัวน้อยของฉัน

พาเด็กชายพีทมาเที่ยวหัวหิน (วันแรก)

20121028-221750.jpg

เคยพาคุณลูกบุกมาเที่ยวถึงหัวหินเมื่อประมาณ 5 เดือนที่แล้ว พร้อมกับคุณพ่อ คุณยาย และคุณน้า และตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะกับสามีว่าจะไม่พาลูกออกเที่ยวอีกจนกว่าลูกจะอายุครบ 1 ขวบ เพราะกว่าจะเตรียมการ จัดกระเป๋า รบกับคุณลูกที่ร้องจ๊ากทุกครั้งที่พานั่งคาร์ซีท ฯลฯ มันแสนเหนื่อย

แต่แล้วเวลาผ่านไปจนลูกอายุ 9 เดือน ความรู้สึกคิดถึงหัวหินก็ทวีความรุนแรงขึ้น จนทำให้เราสามคนพ่อแม่ลูกลืมความเหนื่อยครั้งก่อน แล้วจัดการแพ็คกระเป๋า หอบรถเข็น คาร์ซีท อาหารเด็ก ช้อน ถ้วย ห่วงยาง และอีกหลายต่อหลายอย่างมาถึงหัวหินในวันนี้

ขั้นตอนแรกคือการจองโรงแรมที่เราจะคำนึงถึงความสะดวกและเหมาะกับครอบครัวเป็นหลัก คราวนี้เราเลือกมาพักที่ Amari Residence ที่มีโปรโมชั่นพัก 1 คืนแถม 1 คืนที่เตะตาคุณแม่อย่่างฉันผู้ซึ่งชอบการลดแลกแจกแถมอยู่เป็นทุนเดิม

ครั้งนี้เราเลือกห้องพักแบบห้อง suite เพราะไหนๆ ก็มีโปรฯ ดี ราคาจึงไม่แพงเกินไป (คิดคำนวนดูแล้วถูกกว่าห้องที่เราเคยไปพักที่ InterContinental หัวหิน)

กว่าจะออกจากบ้านได้ก็เอ้อระเหยลอยชายกันไปจนเกือบ 11 โมง ออกมาได้ซักพักคุณลูกก็หลับ เราสองคนเลยตัดสินใจแวะซื้ออาหารรองท้องแบบไดรฟทรูแทนที่จะแวะกินข้าวแกงแถวเพชรบุรีอย่างที่ทำเป็นประจำ ซื้อไดรฟทรูเสร็จ คุณลูกดันตื่น และเริ่มประท้วงไม่ยอมนั่งคาร์ซีท…

จุดหมายแรกของเราคือ Santorini Park ที่ใครๆ ก็นิยมแวะถ่ายรูป ที่นี่คิดค่าเข้าคนละ 50 บาท ส่วนชายพีทเข้าฟรี (แหม ถ้าคิดค่าเข้าจากเด็ก 9 เดือนก็ดูจะโหดไปหน่อยนะ) ตอนแรกอยากพาลูกขึ้นชิงช้าสวรรค์ แต่ชิงช้ามันหมุนช้าเหลือเกิน เกิดขึ้นไปแล้วลูกร้อน ร้องงอแง อิฉันจะทำยังไง เลยตัดสินใจไปเล่นม้าหมุนแทน (คิดถึงม้าหมุนสวนสยามที่สมัยเด็กๆ ชอบนั่งมาก)

คุณลูกดูจะเพลินกับการนั่งม้าหมุน (แต่เราแม่ลูกนั่งในรถม้าแทนนะ เพราะไม่สามารถปีนขึ้นไปนั่งบนม้าได้) แม่ก็เพลินไปด้วย แต่พอหมุนหลายๆ รอบเข้าแม่ชักมึน… สังขารไม่เที่ยงเยี่ยงนี้นี่เอง

ลงจากม้าหมุนแล้วหน้าจะมืด เพราะแดดร้องเปรี้ยงมาก แถมเจอหมุนๆๆๆ หลายรอบ เลยต้องแวะหาที่นั่งจิบน้ำซะหน่อย ก่อนจะกลับ ที่จริง ใกล้ๆ กันมีฟาร์มแกะเปิดใหม่ที่อยากแวะพาลูกไปดู แต่อากาศแบบนี้ขอหนีดีกว่า เดี๋ยวลูกจะร้อนจนป่วยเอา

ขับมาจนถึงหัวหิน ก็แวะกินซีฟู๊ดที่ร้่านแสงไทย ก่อนเข้าโรงแรม

Amari Residence เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ตอนที่ดูเว็บก็นึกสงสัยอยู่ว่าที่นี่มันจะติดทะเลรึเปล่าหว่า… แต่ก็คิดว่าโรงแรมดีๆ จะไม่อยู่ติดทะเลเลยหรือ

แล้วลางสังหรณ์ก็เป็นจริง โรงแรมไม่ติดทะเลจริงๆ ด้วย แง! แต่มาแล้วก็ต้องเลยตามเลย

ห้องพักเราอยู่ชั้น 6 แน่ะ (จริงๆ ถ้าพักชั้นล่างก็จะสะดวกดีเวลาไปสระว่ายน้ำ) ห้องของเราขนาดพอเหมาะ มีแบ่งโซนห้องนั่งเล่น มีโต๊ะอาหาร และโซนห้องนอนที่มีประตูบานเลื่อนไปยังห้องน้ำที่มีอ่างกลมใบใหญ่ ห้องชาวเวอร์ ตู้เสื้อผ้าแบบวอร์คอินขนาดย่อม และห้องสุขาแยกเป็นสัดส่วน ตกแต่งแบบสบายๆ แนวครอบครัว เน้นสีเขียวอ่อนและสีขาว ดู cosy

พอกระเป๋าขึ้นมาส่ง ฉันก็จัดแจงป้อนอาหารลูก วันนี้ไฮนซ์เป็นคนทำ (ー ー;) (ซื้ออาหารแบบขวดมาเพื่อความสะดวก) แต่ปกติแม่จะลงมือทำอาหารให้คุณลูกเองทุกมื้อ

กินเสร็จสักพักก็ได้เวลาเล่นน้ำ แม่กับพ่อหอบสมบัติคุณลูก ได้แก่ ห่วงคอ ห่วงยางแบบ baby seat ของเล่น ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ลงไปที่สระ วันนี้มอบหน้าที่เล่นนำ้กับลูกให้คุณพ่อ ส่วนแม่ขอถือกล้องเก็บภาพกีฬามันๆ อยู่ที่ขอบสระ

อีก 1 วันก็ 7 เดือน

คิดถึง wordpress มากหลังจากห่างหายไปนาน กับภารกิจยิ่งใหญ่ของการเลี้ยงดูลูกน้อยกลอยใจ

พรุ่งนี้พี่พีทก็จะอายุครบ 7 เดือนแล้ว