เราเข้าสู่วันใหม่ ท่ามกลางอากาศหนาวและชื้นแฉะ ฝนยังคงตกพรำๆ และท้องฟ้าฉาบไปด้วยสีเทาอ่อน ห้องนอนเล็กๆ ที่ไม่มีฮีตเตอร์ของเราหนาวยะเยือกจนเราตกลงใจว่าจะไม่อาบน้ำในตอนเช้า
กว่าจะเก็บของและทานอาหารเช้าในห้องอาหารวิวสวยของโรงแรมเสร็จ (ซึ่งก็คือห้องที่เราทานอาหารเย็นเมื่อคืนนี้แหละ แต่ตอนนั้นฟ้ามืดแล้ว) ก็ราว 9 โมง
เช้าวันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยวน้ำตกลาวา Hraunfossar ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมที่พัก ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำตกสวยๆ และน้ำตกที่เกิดจากน้ำพุใต้ดินที่ไหลผ่านธารลาวา(ซึ่งแข็งตัวแล้ว) แห่งนี้เป็นภาพแปลกตาที่น่าประทับใจ แม้จะไม่ได้เป็นน้ำตกทรงพลังอย่าง Gullfoss แต่สายน้ำที่ไหลเรื่อยลงในแม่น้ำ Hvita ที่อยู่เบื้องหน้าเรานั้นสวยจับใจ
ในยามเช้าแบบนี้ เราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่มาถึง จึงสามารถค่อยๆ เดินละเลียดเก็บบรรยากาศสงบของธรรมชาติและซึมซับความสวยงามรอบตัว
เดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ก็จะพบกับน้ำตกอีกแห่ง คือ Barnafoss ซึ่งแปลตรงตัวว่า น้ำตกเด็ก ตำนานเล่าถึงที่มาของชื่อว่ามีเด็กสองคนตกลงไปในน้ำตกแห่งนี้ในวันที่พ่อแม่ไปร่วมพิธี Christmas Mass ที่โบสถ์ พ่อแม่ของเด็กพยายามตามหาและพบรอยเท้าลูกมาจบลงที่น้ำตกอันเชี่ยวกรากแห่งนี้ แม่เสียใจมากและสั่งให้ทำลายสะพานหิน(ธรรมชาติ)ที่ข้ามน้ำตกทิ้งเพื่อที่จะได้ไม่มีใครต้องพบชะตากรรมอันแสนเศร้าเช่นนี้อีก
สายน้ำสีฟ้าไหลแรงและเชี่ยวกรากผ่านโตรกหินสีเทาดำ แรงกระทบส่งละอองน้ำขึ้นมาในอากาศ เป็นภาพที่สวยงามแต่ก็แฝงไปด้วยความดิบของธรรมชาติ
ก่อนออกจากที่นี่ ฉันแวะเก็บภาพตู้ไปรษณีย์สีแดงที่อวดสีสดใสท่ามกลางภูมิประเทศสีหม่น พลางนึกอยากส่ง postcard ถึงคนที่เมืองไทย
จาก Hraunfossar เราขับข้ามกลับมาทางด้านตะวันตกของประเทศ เพราะวันนี้เราจะไป “ทางอ้อม” กัน
คาบสมุทร Snæfellsnes เป็นหนึ่งในเส้นทางอ้อมออกจากถนนสายที่ 1 (detour) ที่น่าสนใจ ด้วยความที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและภูมิประเทศที่หลากหลาย จนบางคนกล่าวว่าถ้ามาเที่ยวที่นี่ก็จะได้สัมผัสถึงภาพรวมของไอซ์แลนด์ได้เลยทีเดียว
เราค่อยๆ ลัดเลาะกันมาถึง Borgarnes ซึ่งเป็นประตูสู่ Snæfellsnes Peninsula สำหรับพวกเรา ในตอนแรกที่วางแผนทริป เราคิดจะพักกันที่เมืองนี้ในคืนที่ 2 แต่ด้วยโปรแกรมแทรกที่จะไปเที่ยว Hraunfossar ทำให้เราเปลี่ยนแผน และแค่แวะมาเที่ยวและตุนเสบียงกันที่นี่
Borgarnes ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่พอสมควร (เทียบตามมาตรฐานไอซ์แลนด์) และมีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ฯลฯ เรียกว่ามีโอกาสพบเจอผู้คนบ้าง หลังจากขับรถเหงาๆ มาเป็นชั่วโมง
เราแวะเรียนรู้ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของไอซ์แลนด์กันที่พิพิทธภัณฑ์ขนาดย่อม The Settlement Center ที่ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่ แต่เนื้อหาการจัดแสดงนั้นเข้มข้นและทำได้ดีทีเดียว โดยแบ่งเป็น 2 นิทรรศการ คือ ส่วนของการตั้งถิ่นฐานในยุคแรกๆ และส่วนของตำนาน (The Egil Saga Exhibition) และมี audio guide ภาษาอังกฤษให้ฟังด้วย
สำหรับฉันแล้ว การที่เราได้รู้ถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ช่วยส่งเสริมอรรถรสในการท่องเที่ยวและความเข้าใจถึงสิ่งที่เราได้พบเห็นในประเทศได้ไม่น้อย จึงขอแนะนำให้ลองแวะมาเที่ยวที่นี่กันดู
ดูนิทรรศการเสร็จก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี เราไม่ไปไหนไกล เพราะที่นี่มีร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ ด้วย และเมนูก็ดูน่าทานดี ถ้าใครชอบอาหาร vegetarian เค้าก็มีบุฟเฟ่ต์ไลน์ไว้ให้เลือกด้วย ขนมปังและเนยของไอซ์แลนด์นี่ถือเป็นเมนูเด็ด เพราะเนยที่นี่ creamy มากๆ และโรยเกลือเม็ดสีดำเพิ่มความเค็มกลมกล่อม
ออกจาก The Settlement Center เราก็แวะปั๊มเติมน้ำมันและตุนขนมอีกเล็กน้อยก่อนมุ่งหน้าสู่ Snæfellsnes Peninsula ดินแดนฝั่งตะวันตกที่น่าเที่ยวจนเราต้องยอมอ้อมออกนอกเส้นทางหมายเลข 1 ไปกัน
เส้นทางนี้นำเราไปสู่ทุ่งกว้างและภูเขาสลับซับซ้อน เวลานี้แสงแดดออกมาทักทายช่วยให้ใจชื้นขึ้นหลังจากเจอแต่อากาศครึ้มขมุกขมัวใน 2 วันแรก
ขับรถมาเรื่อยๆ จนเจอภูเขาสีน้ำตาลเข้มท่ามกลางทุ่งโล่งสีเหลืองทองของฤดูใบไม้ร่วง ปากปล่องภูเขาไฟนี้มีชื่อว่า Eldborg ซึ่งแปลว่าป้อมปราการแห่งไฟ มีความสูงราว 60 เมตรเหนือลาวาที่อยู่โดยรอบ และเคยระเบิดเมื่อ 5,000 – 6,000 ปีก่อน
เราแวะเที่ยวหาผาหิน Gerðuberg ที่สวยแปลกตาด้วยแท่งหินบะซอลต์เหลี่ยมสูงตระหง่านดูราวกับว่าถูกสลักขึ้นอย่างตั้งใจ มองดูไกลๆ เหมือนไม่สูงมาก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็จะสัมผัสได้ถึงความใหญ่และน่าทึ่งของธรรมชาติ
เราแวะจอดรถใกล้เพื่อเก็บบรรยากาศสวยๆ รอบตัว ก่อนออกเดินทางมุ่งสู่จุดหมาย(เกือบ)ปลายแหลม Snæfellsnes วันนี้ที่ Arnarstapi
การขับรถทางไกลที่ไอซ์แลนด์แม้จะเหนื่อยและขับยาก(มาก) แต่เราก็จะได้รางวัลจากวิวสวยๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดทาง
ในที่สุดเราก็มาถึงโบสถ์ดำในตำนาน (ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็นโบสถ์ดำใน instagram และอีกหลาย social network มากกว่า) โบสถ์สีดำแห่งเมือง Búðir มีขนาดไม่ใหญ่ แต่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักแวะถ่ายรูปเก็บภาพโบสถ์เล็กๆ อันเงียบสงบที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งลาวา Búðahraun จนเป็นหนึ่งในภาพที่เห็นได้บ่อยมากๆ เมื่อพูดถึงประเทศ Iceland
ในอดีตตั้งแต่สมัยที่เริ่มมีการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน Búðir ถือเป็นเมืองท่าค้าขายและประมง แต่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมในแถบนี้
ที่พักของเราในวันนี้คือหนึ่งในสถานที่ที่ฉันอยากมาพักมากที่สุด เพราะเชื่อตามภาพโฆษณาที่มีคอทเทจไม้สนหน้าตาทันสมัยให้อารมณ์แบบสแกนดิเนเวียน พร้อมฉากหลังที่เป็นภูเขาทรงปีรามิด ซึ่งพอมาเห็นของจริงก็ออกจะผิดหวังเล็กน้อย (เมื่อเทียบคุณภาพกับราคาห้องพัก) โชคดีที่วิวรอบๆ สวยมากจนลืมความผิดหวังไปได้ (นี่คงเป็นหนึ่งในที่ที่เรียกได้ว่าวิวหลักล้าน)
เก็บข้าวของเข้าที่แล้ว ก็เลยออกมาเดินสำรวจบริเวณโดยรอบและชายฝั่งกันสักหน่อย คลื่นลมในมหาสมุทรกระทบโขดหินรุนแรงเสียงดังครืนๆ ดูน่าหวั่นใจ เผยพลังดิบของธรรมชาติที่ทั้งสวยงามและไร้ความปราณี และพวกเราก็กลายเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ท่ามกลางความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ของธรรมชาติไปโดยพลัน
ภูมิประเทศแถบนี้เป็นชายฝั่งเว้าแหว่งที่ยาวสุดสายตา หน้าผาหินบะซอลต์ถูกลมและกระแสน้ำกัดกร่อนจนมีรูปร่างแปลกตา อีกด้านหนึ่งมีทุ่งโล่งสีน้ำตาลทองเมื่อแสงสุดท้ายของวันทาบทอลงมาและแนวเทือกเขายาวเป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ
เราเดินสำรวจและรับลมยะเยือกริมชายฝั่ง สูดเอาอากาศหนาวจัดแต่สดชื่นเข้าเต็มปอด ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลมาทั้งวันค่อยๆ ลดน้อยลง ทิ้งไว้เพียงความสุข สงบ ที่ธรรมชาติมอบให้
ใกล้แถบชายฝั่ง ประติมากรรมหิน Bárður Snæfellsás ครึ่งมนุษย์ครึ่งโทรลจากตำนานพื้นบ้านของไอซ์แลนด์ตั้งตระหง่านสมชื่อผู้ปกป้องที่เข้มแข็งแห่งคาบสมุทร Snæfellsnes
ลมทะเลที่โหมพัดไม่หยุดหย่อนจนเสื้อกันหนาว 3 ชั้นและถุงมืออย่างหนาแทบจะไม่ช่วยอะไร กับท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง ชวนให้เราหาที่อุ่นๆ หลบลม เราเดินข้ามถนนมาใกล้ๆ ที่พัก เห็นร้านกาแฟอยู่ 2 ร้าน ร้านหนึ่งหน้าตาเหมือนบ้านเก่า กับอีกร้านเล็กๆ ดูทันสมัย เราตัดสินใจลองร้านเก่าที่แลดูมีเสน่ห์มากกว่า
เมื่อก้าวเข้ามาในร้านกาแฟคุณป้าแห่งนี้ เรารู้สึกเหมือนเดินเข้าบ้านคุณป้า ที่ที่ป้าและเพื่อนบ้านกำลังนั่งถักนิตติ้งและคุยสัพเพเหระกันอยู่ รู้สึกเกรงใจนิดนึงที่เราสามคนเข้ามาขัดจังหวะ
เห็นเป็นร้านกาแฟ ฉันจึงสั่งลาเต้ร้อนตามประสาคอกาแฟ(อ่อน) ป้าตอบมาว่ามีแค่กาแฟดำธรรมดานะจ๊ะ เชิญเลือกถ้วยตามอัธยาศัย ซึ่งถ้วยของป้าก็มีสารพัดขนาด สารพัดลาย ดื่มแล้วอยากเติมอีกก็เชิญตามสบาย
มองไปที่เมนูเห็นมีไอศครีมด้วย เราเลยสั่งมาลองสักถ้วย ในร้านมีสมุด guestbook ให้เขียนเล่นๆ (และพลิกอ่านเล่นๆ ด้วย) มีมุมขายของทำมือกระจุกกระจิกและภาพเขียนแนวธรรมชาติ (ที่คาดว่าป้าและเพื่อนๆ น่าจะทำกันเอง) มีหนังสือภาษาไอซ์แลนดิกอยู่บนชั้นให้ลองพลิกดูรูปเพลินๆ
ออกจากร้านกาแฟป้า เราก็ไปทานอาหารเย็นกันต่อที่ห้องอาหารของโรงแรม เมนูยืนพื้นของทริปไอซ์แลนด์สำหรับฉันก็คือปลา (เพราะไม่ทานเนื้อวัวและแกะ) แต่ถ้าใครชอบทานแกะ เค้าว่าเนื้อแกะที่เลี้ยงแบบธรรมชาติในประเทศนี้อร่อยนักแล
หลังท้องอิ่ม เราก็เดินกลับคอทเทจ คืนนี้มีพยากรณ์แสงเหนือว่าแรงอยู่ในระดับปานกลาง แต่ฟ้ามีเมฆมากเหลือเกิน หลังจากออกมาส่องท้องฟ้าสัก 2-3 ครั้งที่หน้าห้องพัก เราก็ตัดสินใจกลับไปนอนเอาแรงเตรียมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้กันดีกว่า