ไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ – the unforgettable detour

เราเข้าสู่วันใหม่ ท่ามกลางอากาศหนาวและชื้นแฉะ ฝนยังคงตกพรำๆ และท้องฟ้าฉาบไปด้วยสีเทาอ่อน ห้องนอนเล็กๆ ที่ไม่มีฮีตเตอร์ของเราหนาวยะเยือกจนเราตกลงใจว่าจะไม่อาบน้ำในตอนเช้า

day3
good morning from Hotel A

กว่าจะเก็บของและทานอาหารเช้าในห้องอาหารวิวสวยของโรงแรมเสร็จ (ซึ่งก็คือห้องที่เราทานอาหารเย็นเมื่อคืนนี้แหละ แต่ตอนนั้นฟ้ามืดแล้ว) ก็ราว 9 โมง

เช้าวันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยวน้ำตกลาวา Hraunfossar ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมที่พัก ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำตกสวยๆ และน้ำตกที่เกิดจากน้ำพุใต้ดินที่ไหลผ่านธารลาวา(ซึ่งแข็งตัวแล้ว) แห่งนี้เป็นภาพแปลกตาที่น่าประทับใจ แม้จะไม่ได้เป็นน้ำตกทรงพลังอย่าง Gullfoss แต่สายน้ำที่ไหลเรื่อยลงในแม่น้ำ Hvita ที่อยู่เบื้องหน้าเรานั้นสวยจับใจ

day 3 2
มุมกว้างของ Hraunfossar
day 3 3
สายนำ้นับร้อยไหลลงแม่น้ำ Hvita

ในยามเช้าแบบนี้ เราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่มาถึง จึงสามารถค่อยๆ เดินละเลียดเก็บบรรยากาศสงบของธรรมชาติและซึมซับความสวยงามรอบตัว

เดินลึกเข้าไปอีกหน่อย ก็จะพบกับน้ำตกอีกแห่ง คือ Barnafoss ซึ่งแปลตรงตัวว่า น้ำตกเด็ก ตำนานเล่าถึงที่มาของชื่อว่ามีเด็กสองคนตกลงไปในน้ำตกแห่งนี้ในวันที่พ่อแม่ไปร่วมพิธี Christmas Mass ที่โบสถ์ พ่อแม่ของเด็กพยายามตามหาและพบรอยเท้าลูกมาจบลงที่น้ำตกอันเชี่ยวกรากแห่งนี้ แม่เสียใจมากและสั่งให้ทำลายสะพานหิน(ธรรมชาติ)ที่ข้ามน้ำตกทิ้งเพื่อที่จะได้ไม่มีใครต้องพบชะตากรรมอันแสนเศร้าเช่นนี้อีก

day 3 5
ตำนานเล่าขาน

สายน้ำสีฟ้าไหลแรงและเชี่ยวกรากผ่านโตรกหินสีเทาดำ แรงกระทบส่งละอองน้ำขึ้นมาในอากาศ เป็นภาพที่สวยงามแต่ก็แฝงไปด้วยความดิบของธรรมชาติ

day 3 6
the force of nature

ก่อนออกจากที่นี่ ฉันแวะเก็บภาพตู้ไปรษณีย์สีแดงที่อวดสีสดใสท่ามกลางภูมิประเทศสีหม่น พลางนึกอยากส่ง postcard ถึงคนที่เมืองไทย

day3 1

จาก Hraunfossar เราขับข้ามกลับมาทางด้านตะวันตกของประเทศ เพราะวันนี้เราจะไป “ทางอ้อม” กัน

คาบสมุทร Snæfellsnes เป็นหนึ่งในเส้นทางอ้อมออกจากถนนสายที่ 1 (detour) ที่น่าสนใจ ด้วยความที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและภูมิประเทศที่หลากหลาย จนบางคนกล่าวว่าถ้ามาเที่ยวที่นี่ก็จะได้สัมผัสถึงภาพรวมของไอซ์แลนด์ได้เลยทีเดียว

เราค่อยๆ ลัดเลาะกันมาถึง Borgarnes ซึ่งเป็นประตูสู่ Snæfellsnes Peninsula สำหรับพวกเรา ในตอนแรกที่วางแผนทริป เราคิดจะพักกันที่เมืองนี้ในคืนที่ 2 แต่ด้วยโปรแกรมแทรกที่จะไปเที่ยว Hraunfossar ทำให้เราเปลี่ยนแผน และแค่แวะมาเที่ยวและตุนเสบียงกันที่นี่

Borgarnes ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่พอสมควร (เทียบตามมาตรฐานไอซ์แลนด์) และมีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ฯลฯ เรียกว่ามีโอกาสพบเจอผู้คนบ้าง หลังจากขับรถเหงาๆ มาเป็นชั่วโมง

borganes2

เราแวะเรียนรู้ประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานของไอซ์แลนด์กันที่พิพิทธภัณฑ์ขนาดย่อม The Settlement Center ที่ถึงแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่ แต่เนื้อหาการจัดแสดงนั้นเข้มข้นและทำได้ดีทีเดียว โดยแบ่งเป็น 2 นิทรรศการ คือ ส่วนของการตั้งถิ่นฐานในยุคแรกๆ และส่วนของตำนาน (The Egil Saga Exhibition) และมี audio guide ภาษาอังกฤษให้ฟังด้วย

สำหรับฉันแล้ว การที่เราได้รู้ถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ช่วยส่งเสริมอรรถรสในการท่องเที่ยวและความเข้าใจถึงสิ่งที่เราได้พบเห็นในประเทศได้ไม่น้อย จึงขอแนะนำให้ลองแวะมาเที่ยวที่นี่กันดู

ดูนิทรรศการเสร็จก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี เราไม่ไปไหนไกล เพราะที่นี่มีร้านอาหารบรรยากาศสบายๆ ด้วย และเมนูก็ดูน่าทานดี ถ้าใครชอบอาหาร vegetarian เค้าก็มีบุฟเฟ่ต์ไลน์ไว้ให้เลือกด้วย ขนมปังและเนยของไอซ์แลนด์นี่ถือเป็นเมนูเด็ด เพราะเนยที่นี่ creamy มากๆ และโรยเกลือเม็ดสีดำเพิ่มความเค็มกลมกล่อม

ออกจาก The Settlement Center เราก็แวะปั๊มเติมน้ำมันและตุนขนมอีกเล็กน้อยก่อนมุ่งหน้าสู่ Snæfellsnes Peninsula ดินแดนฝั่งตะวันตกที่น่าเที่ยวจนเราต้องยอมอ้อมออกนอกเส้นทางหมายเลข 1 ไปกัน

เส้นทางนี้นำเราไปสู่ทุ่งกว้างและภูเขาสลับซับซ้อน เวลานี้แสงแดดออกมาทักทายช่วยให้ใจชื้นขึ้นหลังจากเจอแต่อากาศครึ้มขมุกขมัวใน 2 วันแรก

วิว

ขับรถมาเรื่อยๆ จนเจอภูเขาสีน้ำตาลเข้มท่ามกลางทุ่งโล่งสีเหลืองทองของฤดูใบไม้ร่วง ปากปล่องภูเขาไฟนี้มีชื่อว่า Eldborg ซึ่งแปลว่าป้อมปราการแห่งไฟ มีความสูงราว 60 เมตรเหนือลาวาที่อยู่โดยรอบ และเคยระเบิดเมื่อ 5,000 – 6,000 ปีก่อน

eldborg
Eldborg crater อยู่ทางซ้ายมือ

เราแวะเที่ยวหาผาหิน Gerðuberg ที่สวยแปลกตาด้วยแท่งหินบะซอลต์เหลี่ยมสูงตระหง่านดูราวกับว่าถูกสลักขึ้นอย่างตั้งใจ มองดูไกลๆ เหมือนไม่สูงมาก แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็จะสัมผัสได้ถึงความใหญ่และน่าทึ่งของธรรมชาติ

gerduberg1
ปราการธรรมชาติ … Gerðuberg
gerduberg2
Gerðuberg มีความยาวราว 1 กิโลเมตร
Day3_๑๘๑๑๒๒_0280
under the rainbow

เราแวะจอดรถใกล้เพื่อเก็บบรรยากาศสวยๆ รอบตัว ก่อนออกเดินทางมุ่งสู่จุดหมาย(เกือบ)ปลายแหลม Snæfellsnes วันนี้ที่ Arnarstapi

gerduberg3
พาหนะคู่ใจของเราในทริปนี้กับวิวสวยๆ

การขับรถทางไกลที่ไอซ์แลนด์แม้จะเหนื่อยและขับยาก(มาก) แต่เราก็จะได้รางวัลจากวิวสวยๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดทาง

ในที่สุดเราก็มาถึงโบสถ์ดำในตำนาน (ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็นโบสถ์ดำใน instagram และอีกหลาย social network มากกว่า) โบสถ์สีดำแห่งเมือง Búðir มีขนาดไม่ใหญ่ แต่นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักแวะถ่ายรูปเก็บภาพโบสถ์เล็กๆ อันเงียบสงบที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งลาวา Búðahraun จนเป็นหนึ่งในภาพที่เห็นได้บ่อยมากๆ เมื่อพูดถึงประเทศ Iceland

budir
Búðir & Snæfellsnes

ในอดีตตั้งแต่สมัยที่เริ่มมีการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน Búðir ถือเป็นเมืองท่าค้าขายและประมง แต่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมในแถบนี้

ที่พักของเราในวันนี้คือหนึ่งในสถานที่ที่ฉันอยากมาพักมากที่สุด เพราะเชื่อตามภาพโฆษณาที่มีคอทเทจไม้สนหน้าตาทันสมัยให้อารมณ์แบบสแกนดิเนเวียน พร้อมฉากหลังที่เป็นภูเขาทรงปีรามิด ซึ่งพอมาเห็นของจริงก็ออกจะผิดหวังเล็กน้อย (เมื่อเทียบคุณภาพกับราคาห้องพัก) โชคดีที่วิวรอบๆ สวยมากจนลืมความผิดหวังไปได้ (นี่คงเป็นหนึ่งในที่ที่เรียกได้ว่าวิวหลักล้าน)

Day3_๑๘๑๑๒๒_0230
Arnarstapi Cottage

เก็บข้าวของเข้าที่แล้ว ก็เลยออกมาเดินสำรวจบริเวณโดยรอบและชายฝั่งกันสักหน่อย คลื่นลมในมหาสมุทรกระทบโขดหินรุนแรงเสียงดังครืนๆ ดูน่าหวั่นใจ เผยพลังดิบของธรรมชาติที่ทั้งสวยงามและไร้ความปราณี และพวกเราก็กลายเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ ท่ามกลางความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ของธรรมชาติไปโดยพลัน

Day3_๑๘๑๑๒๒_0217
Gatklettur โค้งหินธรรมชาติ
Day3_๑๘๑๑๒๒_0220
ชายฝั่งเว้าแหว่งสูงชันและแสงสุดท้ายของวัน

ภูมิประเทศแถบนี้เป็นชายฝั่งเว้าแหว่งที่ยาวสุดสายตา หน้าผาหินบะซอลต์ถูกลมและกระแสน้ำกัดกร่อนจนมีรูปร่างแปลกตา อีกด้านหนึ่งมีทุ่งโล่งสีน้ำตาลทองเมื่อแสงสุดท้ายของวันทาบทอลงมาและแนวเทือกเขายาวเป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ

เราเดินสำรวจและรับลมยะเยือกริมชายฝั่ง สูดเอาอากาศหนาวจัดแต่สดชื่นเข้าเต็มปอด ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลมาทั้งวันค่อยๆ ลดน้อยลง ทิ้งไว้เพียงความสุข สงบ ที่ธรรมชาติมอบให้

Day3_๑๘๑๑๒๒_0047
Bárður Snæfellsás ผลงานของ Ragnar Kjartansson

ใกล้แถบชายฝั่ง ประติมากรรมหิน Bárður Snæfellsás ครึ่งมนุษย์ครึ่งโทรลจากตำนานพื้นบ้านของไอซ์แลนด์ตั้งตระหง่านสมชื่อผู้ปกป้องที่เข้มแข็งแห่งคาบสมุทร Snæfellsnes

ลมทะเลที่โหมพัดไม่หยุดหย่อนจนเสื้อกันหนาว 3 ชั้นและถุงมืออย่างหนาแทบจะไม่ช่วยอะไร กับท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง ชวนให้เราหาที่อุ่นๆ หลบลม เราเดินข้ามถนนมาใกล้ๆ ที่พัก เห็นร้านกาแฟอยู่ 2 ร้าน ร้านหนึ่งหน้าตาเหมือนบ้านเก่า กับอีกร้านเล็กๆ ดูทันสมัย เราตัดสินใจลองร้านเก่าที่แลดูมีเสน่ห์มากกว่า

from Leica_๑๙๐๕๑๗_0466
No cafe latte here. Just normal coffee with cosy atmosphere.

เมื่อก้าวเข้ามาในร้านกาแฟคุณป้าแห่งนี้ เรารู้สึกเหมือนเดินเข้าบ้านคุณป้า ที่ที่ป้าและเพื่อนบ้านกำลังนั่งถักนิตติ้งและคุยสัพเพเหระกันอยู่ รู้สึกเกรงใจนิดนึงที่เราสามคนเข้ามาขัดจังหวะ

เห็นเป็นร้านกาแฟ ฉันจึงสั่งลาเต้ร้อนตามประสาคอกาแฟ(อ่อน) ป้าตอบมาว่ามีแค่กาแฟดำธรรมดานะจ๊ะ เชิญเลือกถ้วยตามอัธยาศัย ซึ่งถ้วยของป้าก็มีสารพัดขนาด สารพัดลาย ดื่มแล้วอยากเติมอีกก็เชิญตามสบาย

มองไปที่เมนูเห็นมีไอศครีมด้วย เราเลยสั่งมาลองสักถ้วย ในร้านมีสมุด guestbook ให้เขียนเล่นๆ (และพลิกอ่านเล่นๆ ด้วย) มีมุมขายของทำมือกระจุกกระจิกและภาพเขียนแนวธรรมชาติ (ที่คาดว่าป้าและเพื่อนๆ น่าจะทำกันเอง) มีหนังสือภาษาไอซ์แลนดิกอยู่บนชั้นให้ลองพลิกดูรูปเพลินๆ

Day3_๑๘๑๑๒๒_0004

ออกจากร้านกาแฟป้า เราก็ไปทานอาหารเย็นกันต่อที่ห้องอาหารของโรงแรม เมนูยืนพื้นของทริปไอซ์แลนด์สำหรับฉันก็คือปลา (เพราะไม่ทานเนื้อวัวและแกะ) แต่ถ้าใครชอบทานแกะ เค้าว่าเนื้อแกะที่เลี้ยงแบบธรรมชาติในประเทศนี้อร่อยนักแล

หลังท้องอิ่ม เราก็เดินกลับคอทเทจ คืนนี้มีพยากรณ์แสงเหนือว่าแรงอยู่ในระดับปานกลาง แต่ฟ้ามีเมฆมากเหลือเกิน หลังจากออกมาส่องท้องฟ้าสัก 2-3 ครั้งที่หน้าห้องพัก เราก็ตัดสินใจกลับไปนอนเอาแรงเตรียมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้กันดีกว่า

 

 

ไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ – on the beaten track, the famous Golden Circle

แม้จะเป็นวันแรกของโร้ดทริปที่รอคอย แต่ท้องฟ้าครึ้มๆ และอากาศหนาวๆ ก็ทำให้เราอยากจะขดตัวอยู่แต่ในผ้าห่มอุ่นๆ

เส้นทางท่องเที่ยวรอบประเทศ Iceland แบบวนตามเข็มนาฬิกาของพวกเรา เริ่มต้นด้วยทัวร์เส้นทางมหานิยม เรียกว่าใครมาไอซ์แลนด์แล้วไม่ได้มาเที่ยว Golden Circle นี่ เรียกว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว

สถานที่เที่ยวหลักๆ ที่นักท่องเที่ยวจะแวะชมใน Golden Circle ประกอบไปด้วย น้ำพุร้อน Geysir ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า geyser ที่ใช้เรียกน้ำพุร้อนประเภทนี้กันทั่วไป น้ำตก Gullfoss ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลัง และอุทยานแห่งชาติ Þingvellir

นอกจาก 3 ที่นี่แล้ว ก็มีจุดแวะเที่ยวอื่นๆ ตามเส้นทาง เช่น ปากปล่องภูเขาไฟ Kerið ไร่มะเขือเทศ Friðheimar หรือบ่อน้ำร้อน Secret Lagoon ที่ Flúðir

คืนนี้เรามีแผนไปพักที่ Hótel Á ใกล้เมือง Reykholt เพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะแวะไปเที่ยวน้ำตก Hraunfossar ใกล้ๆ โรงแรมนี้ได้สะดวก

ด้วยเส้นทางที่ยาวไกลกว่า 200 กม. ในวันนี้ เราจึงเลือกเที่ยว 3 จุดแวะสำคัญ โดยคิดว่าจะเริ่มที่ Gullfoss เป็นแห่งแรก

รถของเราค่อยๆ เคลื่อนห่างจากตึกรามบ้านช่องใน Reykjavík ออกไปทีละน้อย ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว แต่มองหาดวงอาทิตย์ไม่เจอ ทิวทัศน์เวิ้งว้างดูแปลกตา วันนี้เราได้อากาศขมุกขมัวเป็นเพื่อนเดินทาง ฉันคิดว่าจะยังไงก็ได้ ขอแค่ไม่มีฝนตกก็แล้วกัน

Day2_๑๘๑๑๒๒_0223

ขับไปเรื่อยๆ กว่า 1 ชั่วโมง ผ่านป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยว เอ๊ะ! นี่ปากปล่องภูเขาไฟ Kerið นี่ พอเห็นรถนักท่องเที่ยวจอดอยู่ประปรายก็เลยขับวกกลับมา (มาได้ไงเนี่ย ตามแผนที่เราควรจะไปถึง Gullfoss ก่อนสิ)

พูดว่าปากปล่องภูเขาไฟ ฟังดูน่าตื่นเต้น

พอเราลงจากรถก็ต้องจ่ายเงินค่าเข้าก่อนด้วยเนื่องจาก Kerið ตั้งอยู่ในที่ส่วนบุคคล (สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าตื่นตาหลายๆ แห่งของ Iceland ไม่เก็บค่าเข้า) มาลองคิดดูก็เจ๋งดีนะ ถ้าที่ดินของเรามีปากปล่องภูเขาไฟอยู่ด้วย!

พอได้มาดูของจริงที่ Kerið นี่แล้ว ฉันว่าปากปล่องภูเขาไฟก็ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่นะ อาจเป็นเพราะในวันฟ้าครึ้มแบบนี้ สีของนำ้ในทะเลสาบปากปล่องแม้จะดูสีฟ้าสดแต่บรรยากาศรอบๆ ดูขมุกขมัวเกินไป แถมอากาศหนาวจับใจที่โหมใส่พวกเราเพราะกำลังลม ประกอบกับฝนปรอยๆ ก็ทำให้ 3 นักท่องเที่ยวจากแถบเขตศูนย์สูตรอย่างเรารีบดูรีบไป ในขณะที่นักท่องเที่ยวบางคนก็เดินลงไปชมวิวที่ใกล้บริเวณทะเลสาบปากปล่อง (crater lake) ด้วย

น้ำสีฟ้าสวยนี้เกิดจากแร่ธาตุที่อยู่ในดิน และทะเลสาบนี้ลึกแค่ประมาณ 7 – 14 เมตรเท่านั้น (ความลึกขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝนและปัจจัยอื่นๆ) หินภูเขาไฟในบริเวณนี้จะมีสีออกแดงเหมือนในรูป

kerid

ออกจาก Kerið เราไปกันต่อที่น้ำพุร้อนชื่อดัง ที่ใครมาไอซ์แลนด์ก็ต่างต้องแวะมาดู

ที่ประเทศไอซ์แลนด์ เราจะได้พบกับ geothermal area หลายแห่งที่ซึ่งพลังความร้อนใต้พิภพยังคงคุกรุ่น และแสดงพลังแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ให้มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราได้สัมผัส

ส่วนน้ำพุร้อน Geysir นี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Haukadalur Valley ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไอซ์แลนด์

geothermal
ร้อนระอุ ท่ามกลางความหนาว … พลังความร้อนใต้พิภพ

แม้ว่าตัว Geysir (ที่มาของคำว่า geyser และในอดีตเคยพุ่งสูงถึง 170 เมตร)เองจะอยู่ในช่วงที่ inactive ไปแล้ว แต่เราก็ยังติดชื่อเรียกนี้อยู่ น้ำพุที่พุ่งสูงสุดได้ถึงราว 40 เมตรและเป็นพระเอกในตอนนี้ มีชื่อว่า Strokkur ซึ่งจะพุ่งโชว์พลังทุก 5 – 10 นาที (ใครอยากถ่ายรูปก็ต้องตั้งกล้องเตรียมตัวเล็งกันให้ดี) และความสูงที่พุ่งขึ้นมาแต่ละครั้งก็ไม่เท่ากัน พื้นที่โดยรอบชุ่มไปด้วยน้ำร้อนๆ อุณหภูมิคงจะอุ่นพอให้มีมอสเขียวๆ ให้เห็นอยู่ประปราย บางจุดก็มีพุน้ำร้อนเล็กๆ ขึ้นมา อย่าง Litli-Geysir

Litli
ร้อนเล็กๆ กับ Litli-Geysir

บริเวณนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตา เพราะถือเป็นสถานที่แบบ must-see มีจุดบริการนักท่องเที่ยวให้แวะเข้าไปหลบลมหนาว เข้าห้องน้ำ มีร้านคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึกสารพัดที่น่าเดินเล่นมากๆ โดยเฉพาะแบรนด์ Geysir ที่ดีไซน์สวยเก๋และ 66°North เครื่องแต่งกาย outdoor แบรนด์ดังของไอซ์แลนด์

จากจุดจอดรถ เราแค่เดินข้ามถนนมา ก็ถึงบริเวณน้ำพุร้อน ซึ่งหลายๆ จุดจะมีเชือกกั้นไว้ เพื่อความปลอดภัยเราควรเดินในทางเดินที่เค้ากำหนดไว้ ซึ่งถ้าใครที่ได้มาเที่ยวที่ไอซ์แลนด์ (หรือสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติอื่นๆ) ก็ควรจะปฏิบัติตามกฎ ทั้งเป็นการเคารพธรรมชาติที่สวยงามและเปราะบางเหล่านี้ และเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเองด้วย

before
รอคอยด้วยใจจดจ่อ – before the burst

เราเดินไปจับจองที่ยืนใกล้ๆ กับ Strokkur เพื่อรอดูปรากฎการณ์แห่งธรรมชาติอันน่าตื่นตาที่กำลังจะเกิดขึ้น มองลงไปที่กลางแอ่งจะเห็นน้ำสีฟ้าใสที่หมุนวน รอเวลาที่จะปะทุขึ้นมา เป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ดูทั้งแปลกและน่าทึ่งจริงๆ

รอสักพักใหญ่ๆ มวลน้ำจากกลางแอ่งก็ปะทุ ดันตัวพุ่งสูงขึ้นมา เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมโดยรอบ พร้อมทิ้งละอองน้ำอุ่นๆ ให้กระจายไปทั่วบริเวณ ก่อนไหลกลับลงไปอย่างสงบเสงี่ยม รอเวลาอวดโฉมรอบต่อไป

strokkur
ready, steady, burst!

แม้จะอยู่ในพื้นที่ geothermal ที่คุกรุ่นไปด้วยพลังความร้อน แต่อากาศหนาวระดับเลขตัวเดียวกับลมที่พัดมาเรื่อยๆ และฝนปรอย ทำให้เราต้องขอพักดื่มกาแฟร้อนๆ และช้อปปิ้งเครื่องกันหนาวเพิ่มอีกเล็กน้อยก่อนออกเดินทางกันต่อ ฉันเลือกหมวกไหมพรมของ 66°North มา 1 ใบ ไว้ใส่ทับหมวกที่เตรียมมาจากเมืองไทย

จุดหมายต่อไปของเราคือน้ำตก Gullfoss อันทรงพลัง ชื่อน้ำตกแห่งนี้แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Golden fall (ช่างคล้องกับ Golden Circle จริงๆ ^_^) มีจุดกำเนิดจากธารน้ำแข็ง Langjökull ที่ไหลลงมาเป็นแม่น้ำ Hvítá และตกลงสู่แคนยอนขนาดใหญ่ใน 2 ระดับ ที่ความสูงประมาณ 11 เมตร และ 20 เมตร

ฉันขอเรียกที่นี่ว่าเป็นมหกรรมน้ำตก เพราะเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมาในชีวิต มวลน้ำมหาศาลที่ไหลตกลงมานี้ดูน่าเกรงขาม และส่งเสียงดังกระหึ่ม ทำให้มนุษย์อย่างเราดูตัวเล็กจิ๋วไปในทันใด

about gullfoss
2 น้ำตก – ป้ายอธิบายเกี่ยวกับ Gullfoss

นอกจากความน่าทึ่งของพลังธรรมชาติแล้ว เรื่องราวของชาวไอซ์แลนด์ผู้ปกป้องน้ำตกแห่งนี้จากนายทุนผู้ต้องการกอบโกยผลประโยชน์จากพลังแห่งธรรมชาตินี้ก็น่าประทับใจไม่น้อย Tómas Tómasson ชาวนาเจ้าของที่ดินที่น้ำตก Gullfoss ตั้งอยู่ ปฏิเสธการขายที่ดินให้กับนายทุนชาวอังกฤษ ด้วยประโยคกินใจที่ว่า “I will not sell my friend!” และ Sigríður Tómasdóttir ลูกสาวของเขาก็เป็นผู้ต่อต้านการใช้น้ำตกแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ด้วยความทุ่มเทและเสียสละเป็นเวลายาวนาน จนเธอได้ชื่อว่าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคนแรกของไอซ์แลนด์

i will not sell my friend
I will not sell my friend!
the lady of the waterfall
ประวัติโดยย่อของ Sigríður Tómasdóttir
the lady of the waterfall2
ประติมากรรมรูป Sigríður Tómasdóttir ผลงานของ Ríkarður Jónsson

ผู้มาเยือนน้ำตกแห่งนี้สามารถเดินชมวิวจากมุมต่างๆ ได้หลายจุด แต่สายฝน ฟ้าครึ้ม และอากาศหนาวเหน็บ(สังเกตุจากน้ำแข็งและหิมะบนพื้น) ไม่เป็นใจ ทำให้เราใช้เวลาไม่นานนักที่น้ำตกแห่งนี้

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอย่างนี้ เวลากลางวันเริ่มจะสั้นกว่ากลางคืน พระอาทิตย์ขึ้นช้าและตกเร็ว การเที่ยวสถานที่ต่างๆ ก็ต้องถูกจำกัดเวลาไปโดยปริยาย

เรายังมีจุดแวะเที่ยวอีก 1 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติ Þingvellir ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี 2004 เป็นที่ซึ่งแผ่นเปลือกโลกของ 2 ทวีปมาพบกัน (หรือจะเรียกว่าแยกจากกันดี)

ระหว่างทางไป เราพบฟาร์มม้าแห่งหนึ่งที่พาม้ามา”จอด”ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปให้อาหารและถ่ายรูปได้ และไม่มีคนเฝ้าด้วย เรียกว่าใช้ระบบไว้วางใจในการซื้ออาหารม้า คือมีอาหารใส่กระทงวางไว้ และมีกล่องให้เราหยอดเงินเอง หยิบอาหารเอง แล้วก็เอาไปป้อนน้องม้าน่ารักๆ ที่ยืนรออยู่ ม้าไอซ์แลนด์ดิกถือว่ามีสายพันธุ์ที่บริสุทธิ์ มีชื่อเสียงในความอดทนและแข็งแรง และเป็นหนึ่งในสิ่งที่นักท่องเที่ยวอยากมาดูเมื่อมาเที่ยวที่นี่

Day2_๑๘๑๑๒๒_0148
ม้าไอซ์แลนดิกที่แสนน่ารัก

ขับต่อมาสักพัก แบบงงๆ เพราะ GPS พาไปลานจอดรถที่ค่อนข้างไกลและไม่มีรถอื่นอยู่เลย เราต้องลอง search ใหม่อีก จนในที่สุดก็มาถึงที่ Þingvellir จนได้

thingvellir7

Þingvellir ไม่ได้มีเพียงแค่ความสำคัญในแง่ธรณีวิทยาเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ตั้งของสภา Alþing “รัฐสภา”แห่งแรกของไอซ์แลนด์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 930 เราจะเห็นป้ายบอกจุดสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ อาทิ Law Rock ซึ่งเป็นที่สำหรับประกาศกฎหมายและกล่าวสุนทรพจน์ต่างๆ ในสมัยนั้น ใกล้ๆ กันก็มี Drekkingarhylur (The Drowning Pool) ซึ่งเป็นสถานที่ประหารผู้หญิงโดยการจับถ่วงน้ำ นอกจากที่นี้แล้ว ยังมีอีกหลายจุดและหลายวิธีประหารที่เกิดขึ้น ณ สภาแห่งนี้…

thingvellir2

thingvellir3
The Law Rock

ภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ ดูแปลกตา มีแนวหินตั้งตระหง่านเป็นสันยาว มีน้ำตก Öxarárfoss ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำ Öxará พื้นที่โล่งกว้างประกอบไปด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ทะเลสาบ แผ่นดินที่แยกเป็นร่องลึก และภูเขาหิมะที่ตั้งตระหง่านอยู่สุดสายตา

จุดหนึ่งที่ฉันตั้งใจจะไปดูให้ได้ก็คือ Silfra จุดดำน้ำระหว่าง 2 แผ่นเปลือกโลก (The North American and Eurasian tectonic plates) น้ำที่เกิดจากน้ำพุใต้ดินผ่านชั้นกรองธรรมชาตินี้ใสและนิ่งมาก แน่นอนว่าอุณหภูมิของน้ำที่อยู่ที่ประมาณ 2 – 3 องศาเซลเซียส ทำให้นักดำน้ำจำเป็นต้องใส่ชุดแบบพิเศษและต้องได้รับอนุญาตก่อนเท่านั้น 

สำหรับฉันเองไม่ต้องดำ ขอแค่ดูก็พอแล้วล่ะ

silfrasilfra1

ออกจาก Þingvellir แล้วเรายังคงต้องเดินทางต่อไปอีกกว่า 100 ก.ม. กว่าจะถึงที่พักในคืนนี้ที่ Hótel Á ใกล้เมือง Reykholt

แม้จะเป็นเวลาบ่าย แต่ฟ้าก็ดูมืดลงทุกที และเส้นทางก็เริ่มเปลี่ยว จากที่มีรถผ่านมาเรื่อยๆ ในเส้นทางแถบ Golden Circle บัดนี้พวกเราเหมือนจะเป็นรถเพียงคนเดียวที่อยู่บนถนน

ถนนสาย 52 ซึ่งดูจากแผนที่แล้วจะสั้นกว่าเส้นทางสายหลักหมายเลข 1 พาเราไต่ระดับลึกเข้าไปในหุบเขา ที่รอบตัวเราปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ทุกสิ่งสงบนิ่ง ไร้เสียงใดๆ ถนนสีเทาเริ่มมีน้ำแข็งเกาะลื่นกลายเป็นสีขาว ยากแก่การขับ แต่เรายังไม่เห็นวี่แววของเมืองกันเลย เราขับช้าลงเพราะไม่ชินกับสภาพการขับรถบนน้ำแข็ง ความตื่นเต้นกับหิมะและวิวสวยๆ กลายเป็นความกังวล

Day2_๑๘๑๑๒๒_0225

สักพักใหญ่ๆ มีรถคันหนึ่งตามเรามา ท่าทางจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน (คน local คงไม่หลงมาทางนี้ในสภาพถนนแบบนี้กันหรอก) พวกเรารู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อย เราจอดรถลงไปถามไถ่เค้าดูว่าจะไปไหวไหม ฝรั่งคันนั้นบอกว่าน่าจะได้ เดี๋ยวไอจะนำยูไปเองละกัน (คงทนความเร็วระดับ 20-30 กม. ต่อ ชม. ของเราไม่ไหว) แล้วพี่เค้าก็ขับนำไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เราคลำทางตามไปอยู่ห่างๆ ซึ่งช่วงนี้พี่แพนคนขับของเราคงเครียดไม่น้อย ทั้งเหนื่อย ล้า ไม่ชินทาง และฟ้าที่มืดลงจนแสงอาทิตย์ลับไปก็ยิ่งทำให้การขับรถยากลำบากขึ้นอีก ทางคดเคี้ยวในตอนกลางคืนบนถนนที่ลื่นนี่น่าจะเรียกได้ว่าทางปราบเซียนกันเลยทีเดียว

เราไปถึง Hótel Á กันตอนทุ่มกว่าแล้ว และแถวนั้นก็ดูจะไม่มีร้านอาหารเสียด้วย โชคดีที่เราสั่งอาหารที่โรงแรมกินได้ มื้อนี้อร่อยมาก ไม่รู้ว่าเพราะหิวและเหนื่อยหรือว่าลุงแกทำอร่อยจริงๆ

 

ไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ – วันเดินทาง

“Not all those who wander are lost.” 
― J.R.R. Tolkien, The Fellowship of the Ring

เคยนึกถึงวันที่แสนยาวนานกันบ้างไหม วันที่รู้สึกว่ามันช่างยาวนาน เชื่องช้า เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด (และ time zone ที่แตกต่างก็ทำให้วันที่ 22 ตุลาคมของเรายาวกว่า 24 ชั่วโมงจริงๆ ซะด้วยแฮะ)

วันแรกของการเดินทางข้ามทวีปของเราครั้งนี้เริ่มต้นบนเครื่องบินสายการบินแห่งชาติ

ที่นั่งปรับเอนนอนได้ของชั้น premium economy ช่วยให้ใจชื้นขึ้นว่าเราคงได้นอนสบายๆ กันบ้างสำหรับการนั่งเครื่องแบบ long haul ในครั้งนี้ และเตรียมพร้อมกับการผจญภัยย่อมๆ ที่รอเราอยู่ในอีกกว่า 10 วันข้างหน้า

เราไปถึง Copenhagen ในช่วงเช้าของวันที่ 22 และมีเวลามากพอที่จะออกมาสูดอากาศนอกสนามบินกันก่อนที่จะต่อเครื่อง Icelandair ไปยังจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้

ลมเย็นยามเช้าฤดูใบไม้ร่วงแถบย่านท่าเรือ Nyhavn ปะทะผิวของเรา ช่วยพัดพาความเหนื่อยล้าอุดอู้จากการเดินทางให้ค่อยๆ จางหายไป แสงอาทิตย์แรกสาดลงบนตึกรามสีสันสวยงามริมคลอง เป็นเหมือนแสงแห่งการเริ่มต้นที่สดใสของทริปนี้

Day One BKK-CPH-KEF_๑๘๑๑๒๒_0061
ยามเช้าอันเงียบสงบ ณ Nyhavn

เวลาเช้าแบบนี้ร้านรวงต่างๆ ยังไม่เริ่มเปิดบริการ มีเพียงคาเฟ่ Vaffelbageren เล็กๆ ที่มีไอศครีมโคนใหญ่สีสันสะดุดตาประดับอยู่ด้านหน้า ที่พอจะให้เราได้เข้าไปนั่งพักหลบลมหนาวรอเวลา canal tour ชมทัศนียภาพของเมืองเก๋ โคเปนเฮเกนแห่งนี้

ทัวร์ชมเมืองบนเรือใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง จากท่าเรือที่ Nyhavn ล่องไปตามแม่น้ำและคลองในเมือง เผยโฉมโคเปนเฮเกนในมุมกว้าง ทั้งพิพิทธภัณฑ์ พระราชวัง เงือกน้อย (ที่เราเห็นอยู่ไกลๆ) สวนสาธารณะ สระว่ายน้ำ และสถาปัตยกรรมสวยเก๋ของเมืองที่ทุกอย่างดูสบาย สมกับไลฟ์สไตล์แบบ hygge ที่โด่งดังไปทั่วโลก

เราแวะชิมลางเมืองโคเปนฯ กันแค่นิดหน่อย พอให้ได้ยืดเส้นยืดสาย และค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับอากาศหนาว (ประมาณ 10 องศา) ก่อนเตรียมเดินทางต่อไป Reykjavík

พอขึ้นจากเรือ เราก็นั่งรถไฟกลับไปที่สนามบิน Kastrup เพื่อทานอาหารกลางวัน เดินสำรวจร้านรวงในสนามบินเล็กน้อย ซึ่งหลายๆ ร้านก็หน้าตาดี มีสินค้าดีไซน์สวยๆ น่าช้อป ที่ฉันเล็งไว้สำหรับขากลับ หนึ่งในนั้นก็มีร้านมาร์ชเมลโลเคี้ยวหนึบ The Mallows ที่คนขายใจดียินดีให้ลองชิมหลายๆ รส

Day One BKK-CPH-KEF_๑๘๑๑๒๒_0021
พิซซ่าบางกรอบที่สนามบิน Kastrup

และแล้วเวลาเดินทางต่อก็มาถึง จากโคเปนเฮเกน เราเปลี่ยนเครื่องเป็นสายการบินประจำชาติของ Iceland จากที่นั่งสบายๆ พร้อมจอส่วนตัว ก็กลายมาเป็นชั้นประหยัดดังเดิม (แถมไม่มีอาหารเสิร์ฟและไม่มีหูฟังให้อีกต่างหาก) ใช้เวลาบินราวๆ 3 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบิน Keflavik Airport ประตูสู่ road trip รอบประเทศของเรา

สนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของ Iceland แห่งนี้สร้างโดยกองทัพสหรัฐในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แลดูเล็กๆ เหงาๆ เมื่อเทียบกับสนามบิน Kastrup ที่เราเพิ่งผ่านมา

นี่เรากำลังจะเดินทางสู่ middle of nowhere จริงๆ แล้วสินะ

แม้จะเหนื่อยล้ากับการเดินทางมากว่า 10 ชั่วโมง แต่วันนี้ของเรายังไม่จบ เราลากกระเป๋าใบยักษ์ 4 ใบออกมาจากความอบอุ่นของอาคารผู้โดยสาร ไอซ์แลนด์ต้อนรับเราด้วยฟ้าครึ้มๆ ฝนพรำๆ และอากาศก็หนาวจับจิต

ภารกิจแรกคือการไปรับรถเช่าซึ่งเราก็รอ shuttle bus กันอยู่พักใหญ่ๆ เรียกว่าเริ่มจะใจเสียว่าจะมีรถผ่านมาบ้างไหม เพราะมันช่างเงียบเหลือเกิน ครั้นจะลากกระเป๋าฝ่าลมและฝนไปหาบริษัทเช่ารถก็ไม่น่าจะไหว

ในที่สุดฟ้าก็ประทานรถ shuttle bus มาให้ชาวไทยตัวน้อยๆ ทั้ง 3 ไปถึงโซนบริษัทรถเช่า

คราวนี้เราให้พี่แพนซึ่งจะเป็นคนขับรถหลักตลอดเส้นทางเป็นคนเลือกรถที่มั่นใจและอยากขับมากที่สุด (ซึ่งในขั้นตอนการวางแผน เราเลือกตัดรถบ้าน/รถ camper van ออกไป เพราะคิดว่าพักตามโรงแรมหรือบ้านพักน่าจะสะดวกและสบายที่สุด)

รถ BMW X1 ของเราจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่สำคัญ และพาพวกเราไปในเส้นทางกว่า 2,000 กม. ในอีก 10 วันข้างหน้า

แน่นอนว่าการขับรถในประเทศที่ไม่คุ้นเคย + สภาพถนนที่คาดเดาไม่ได้ + พวงมาลัยซ้าย + ขับชิดขวา นำความลำบากใจมาให้แก่คนขับไม่น้อย แต่มาถึงนี่แล้ว ยังไงก็ต้องไปให้ได้!

ถนนจากสนามบินเข้าเมือง Reykjavík ผ่านภูมิประเทศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า ราวกับอยู่บนดาวอื่น แทบไม่มีสิ่งก่อสร้างให้เราเห็น มีเพียงทุ่งโล่งสีน้ำตาลสุดลูกหูลูกตา ฟ้าในยามเย็นก็มืดลงเรื่อยๆ พร้อมกับอุณหภูมิที่ลดลง แสงแดดยามเช้าที่โคเปนเฮเกนดูห่างไกลจากเรามากเหลือเกิน

เมื่อเข้าเขตเมือง เราต้องวนหาที่พักในคืนแรกกันพักใหญ่ เพราะเราเลือกพักในบ้านที่เปิดให้เช่า ซึ่งถึงแม้ว่าจะมี location แล้ว แต่การที่จะหาบ้านในซอยสักหลังโดยไม่มีป้ายบอกทางในเวลาค่ำก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะคลำทางจนถึงบ้านก็ทั้งหิวและเพลีย

Old Charm Reykjavík ตกแต่งเรียบง่าย น่ารัก แต่บันไดขึ้นชั้น 2 นั้นชันมากกกก เมื่อต้องแบกกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ขึ้นไปนั้น มันช่างเสี่ยงกับการตกลงมาและถูกกระเป๋าทับอย่างอนาถเสียจริง เจ้าของบ้านส่งข้อความมาขอโทษที่ไม่ได้มาต้อนรับ+เปิดบ้านให้เพราะลูกของเธอป่วย

ถึงแม้จะเหนื่อยล้ากับการเดินทาง แต่กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง และเราจำเป็นต้องตุนเสบียงสำหรับ road trip เราจึงจำต้องออกจากห้องพักไปหาซื้อของที่ supermarket กัน โดยเลือกไปที่ Krónan ซึ่งดูจะอยู่ใกล้ที่สุดและยังไม่ปิด (ร้านค้าและซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ไอซ์แลนด์ปิดเร็ว แต่ละสาขาในแต่ละเมือง ก็เปิด-ปิดไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องวางแผนและจัดเวลาให้ดี)

ซุปเปอร์ฯ ที่นี่มีของไม่มากนัก ไม่ค่อยน่าตื่นตาตื่นใจ และราคาค่อนข้างแพง เหตุเพราะสินค้าหลายๆ อย่างต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นักท่องเที่ยวอย่างเราจึงต้องเตรียมเสบียงมาจากเมืองไทยค่อนข้างเยอะ ถ้ามาทริปยาวๆ แบบเรา ควรนำข้าวและหม้อหุงข้าวมาด้วยอย่างยิ่ง

กลับจาก Krónan ก็เตรียมพักผ่อนนอนเอาแรง ก่อนออกเดินทางไกลในวันรุ่งขึ้น

จบวันแรกที่แสนยาวนาน … Góða nótt.

ไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ – แผนเที่ยว

ความสนุกของการท่องเที่ยว เริ่มตั้งแต่การจินตนาการถึงสถานที่ที่อยากไป หาข้อมูลเพิ่มเติม และรวบรวมสิ่งละอันพันละน้อยที่สะสมมาผสมรวมกัน จนได้แผนที่(เราคิดว่า)กลมกล่อม และได้ดั่งใจ

แน่นอนว่าแผนสำเร็จของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามจริต ความชอบ ความสนใจ

แต่ถ้าชอบหลายสิ่ง อยากเห็นหลายอย่าง อยากลองทำไปซะหมด ก็จะจบลงด้วยแผนเนื้อแน่น อย่างแผนของฉันในครั้งนี้ (ซึ่งก็บอกตัวเองว่า ถ้าไม่ได้ตามแผนก็ต้องทำใจ) แต่ก็ขอใส่ไปก่อน ตามสำนวนที่ว่า “เหลือดีกว่าขาด”

ในตอนที่ตัดสินใจว่าจะไปสัก 13 วัน ก็คิดว่านานกว่าทริปไหนๆ ที่เคยไปมาแล้ว น่าจะ “เก็บได้ครบ” แต่พอลงมือวางแผนจริงๆ 13 วันที่จะมีแวะโคเปนเฮเกนด้วยก็ออกจะแน่นอยู่เหมือนกัน ครั้นมีความจำเป็นต้องเลื่อนทริปเลยกะว่าจะขยับขยายเวลาเที่ยวให้ยาวออกไปอีกสักนิด แต่ฉันก็ฝันสลายด้วยระยะเวลาของวีซ่าที่ช่างจำกัดจำเขี่ยให้เสียเหลือเกิน เรียกว่าวางแผนแรกตอนขอวีซ่าไป 13 วัน ก็ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศ Schengen แค่ 13 วันด้วย คิดจะขอวีซ่าใหม่ ก็คงได้วีซ่าไม่ทันอีก ฉันก็เลยต้องปล่อยตามเลย

แผนเที่ยวของเราเริ่มที่ไฟลทจากกรุงเทพไปที่ Copenhagen รอต่อเครื่อง Icelandair ไปยัง Reykjavík แล้วค่อย road trip บนถนน Ring Road วนรอบประเทศ 1 รอบแล้วกลับมาแวะ Copenhagen ขากลับอีก 1 คืน

ได้แผนคร่าวๆ ตามนี้

วันที่ 1 – กรุงเทพ > Copenhagen > Reykjavík (sightseeing เล็กน้อยถ้ามีเวลา และบุกซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเตรียมเสบียง)

วันที่ 2 – เที่ยวแถบ Golden Circle (วนจาก Kerið > Geysir > Gullfoss > Þingvellir แล้วไปพักที่ใกล้ๆ น้ำตก Hraunfossar)

วันที่ 3 – เที่ยวน้ำตกลาวา Hraunfossar / Barnafossar ก่อนมุ่งหน้าไปที่เมือง Borgarnes เพื่อแวะชมพิพิทธภัณฑ์ The Settlement Centre และต่อไปยัง Snæfellsnes peninsula ตามหาทางเข้าสู่ใจกลางโลกตามหนังสือของ Jules Verne เที่ยวชายฝั่งแถบ Hellnar แล้วพักที่เมือง Arnarstapi

วันที่ 4 – ไปดูภูเขา+น้ำตก Kirkjufell แล้วเดินทางยาวๆ ต่อไปพักที่เมือง Hvammstangi

วันที่ 5 – แวะดูหินไดโนเสาร์ Hvítserkur แล้วตรงไปสำรวจ Akureyri เมืองใหญ่แห่งภาคเหนือ (ที่เราหวังจะเห็นแสงสีบ้างหลังจากเดินทางแบบสงบเงียบมาหลายวัน)

วันที่ 6 – ไปน้ำตก Goðafoss แล้วมุ่งหน้าต่อไปเที่ยวที่แถบ Mývatn ลองแช่น้ำร้อนที่ Mývatn Nature Bath สำรวจ Námafjall Geothermal Area (Hverir) ก่อนไปพักที่ Fosshotel Mývatn

วันที่ 7 – ไปน้ำตก Dettifoss ก่อนวิ่งยาวไปที่ Seyðisfjörður เมืองอาร์ตที่หมายตาไว้

วันที่ 8 – วิ่งยาวๆ อีกครั้งไปยังเมือง Höfn เพื่อกินกุ้ง! (แต่ไม่ลืมแวะดูภูเขา Vestrahorn mountain และหาด Stokksnes จุดเที่ยวขวัญใจช่างภาพที่อยากเก็บภาพภูเขาสะท้อนน้ำที่สวยสะท้านใจ และเนินทรายสีดำดูแปลกตา)

วันที่ 9 – ไปดูก้อนน้ำแข็งยักษ์สีฟ้าสวยที่ลอยอยู่ในลากูน Jökulsárlón ก่อนแวะดูก้อนน้ำแข็งใสๆ ตัดกับชายหาดสีดำสนิทที่ Diamond Beach ล่องเรือเข้าใกล้ธารน้ำแข็งที่ Fjallsárlón และเที่ยวอุทยานแห่งชาติ Skaftafell (หมายตาไว้ว่าจะต้องไปถึงน้ำตก Svartifoss ให้จงได้)

วันที่ 10 – เที่ยวแคนยอนชื่อยาก Fjaðrárgljúfur แวะทุ่งลาวาที่ปกคลุมไปด้วยมอส ก่อนมุ่งตรงไปเที่ยวแถวเมือง Vík í Mýrdal ชมผา Dyrhólaey นำ้ตกสายรุ้ง Skógafoss และดูบ้าน turf house ที่พิพิทธภัณฑ์ Skogar

วันที่ 11 – เดินอ้อมหลังน้ำตก Seljalandsfoss ก่อนกลับเข้าเก็บตกสถานที่เที่ยวใน Reykjavík และแช่น้ำร้อน Blue Lagoon (คืนรถเช่าคืนนี้)

วันที่ 12 – บอกลา Iceland เพื่อเดินทางกลับไปยัง Copenhagen แวะช้อปของดีไซน์เก๋และเลโก้ที่ย่าน Strøget ก่อนไปเที่ยวสวนสนุกวินเทจ Tivoli Gardens

วันที่ 13 – ออกจาก Copenhagen แล้วบินยาวๆ กลับบ้าน

วันที่ 14 – ถึงสุวรรณภูมิบ้านเราแต่เช้าตรู่

 

 

สงกรานต์ สิงคโปร์ (เรือ)สำราญ – วันที่สี่/ห้า/หก/เจ็ด

ตามกำหนดการเรือจะออกจากท่าที่สิงคโปร์เวลา 23.59 น.

ฉันนอนอ่าน Kindle รอเวลาเรือออกในขณะที่ทุกคนนอนหลับกันหมดแล้ว ซึ่งกว่าเรือจะได้ออกจากท่าจริงๆ ก็เป็นเวลากว่าเที่ยงคืนไปแล้ว

ด้วยความที่เป็นเรือขนาดใหญ่และคลื่นลมที่สงบตลอดเส้นทาง ทำให้เราแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังอยู่บนเรือ

เราเริ่มต้นเช้าวันที่ 4 ของทริปกันแบบสบายๆ มีเวลาให้สำรวจและทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย เพราะเราจะพักบนเรือกันตั้ง 4 คืนแน่ะ และระหว่างเส้นทางจากสิงคโปร์กลับไปที่แหลมฉบังก็ไม่ได้มีแวะ port ไหนให้ลงไปเที่ยว เรียกได้ว่าอยู่บนเรืออย่างเดียวเลย

อาหารเช้าบนเรือมีให้บริการที่ห้องอาหาร 2 แห่ง แล้วแต่ว่าอยากได้บรรยากาศแบบไหน ถ้าไม่อยากพลุกพล่านมากและสามารถสั่งอาหารแบบ a la carte ได้ก็จะเป็นห้องแบบ sit-down dinner (ห้องเดียวกับที่ทานอาหารเย็น) แต่ถ้าอยากได้แบบ buffet เต็มรูปแบบก็ต้องไปที่ Lido Marketplace ซึ่งเปิดบริการแบบบุฟเฟ่ต์ทุกมื้อ (รวมถึง afternoon snack ด้วย)

IMG_8223
จำลองบรรยากาศแบบเวนิสมาไว้ที่ห้องอาหาร Canal Grande

สิ่งอำนวยความสะดวกบนเรือลำนี้ มีทั้งสระว่ายน้ำ (ขนาดค่อนข้างเล็ก 2 สระ) สวนน้ำที่มีสไลเดอร์และมุมน้ำพุสำหรับเด็กเล็ก ห้อง Kid Club ที่มีกิจกรรมสำหรับเด็ก โต๊ะปิงปอง Rope Garden มินิกอล์ฟ สปา ร้านค้าสำหรับขาช้อป โรงละคร/โรงภาพยนตร์ ระเบียงอาบแดด ลู่วิ่ง ฟิตเนส ร้านกาแฟ ร้านไอศครีม บาร์ คาสิโน ฯลฯ เรียกได้ว่าเหมือนอยู่ในโรงแรมขนาดใหญ่ มีบริการถ่ายรูป (ซึ่งเราสามารถซื้อกลับไปเป็นที่ระลึกได้ถ้าต้องการ)

IMG_8224
พื้นที่กิจกรรมบนชั้น 11 ของเรือ

แต่ละวันก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ให้เข้าร่วมแตกต่างกันไป เช่น กิจกรรมงานประดิษฐ์ง่ายๆ (ดูแล้วเน้นให้ผู้สูงอายุทำเพลินๆ) กิจกรรมสอนเต้นละติน เกมบิงโก ฯลฯ และทุกคืนก็จะมีการแสดงที่โรงละครสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป (คืนแรกของเรามีฉายภาพยนตร์ คืนที่สองเป็นการแสดงกายกรรม คืนที่สามแสดงมายากล และคืนสุดท้ายฉายภาพยนตร์)

IMG_8225
หมากรุกยักษ์

แน่นอนว่าสถานที่โปรดของเด็กๆ คือสระว่ายน้ำและสวนน้ำค่ะ ต่อให้แดดเปรี้ยงและคนเยอะเพียงใด เด็กๆ ก็สนุกได้ตลอด เรียกว่าชุดว่ายน้ำแทบจะไม่แห้งกันเลยทีเดียว เพราะลงเล่นน้ำกันวันละ 2-3 ครั้ง!

บนเรือมีการดูแลความปลอดภัยเวลาที่เด็กๆ เล่นน้ำในสระ (ซึ่งลึกประมาณ 1.20 เมตร) เด็กๆ จะต้องใส่เสื้อชูชีพด้วยเสมอและต้องมีผู้ใหญ่ลงไปด้วย ส่วนสไลเดอร์จะมีการกำหนดความสูงของผู้เล่นเอาไว้ และมีเวลาเปิด-ปิด

IMG_8226
สวนน้ำและ Rope Garden
IMG_8241
ว่ายได้ แม้ในเวลาแดดเปรี้ยง!

สังเกตุว่าผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ มีเวลาว่างค่อนข้างมาก หลายๆ คนก็จะอยู่บนเรือกันร่วมเดือนเลยทีเดียว ใช้เวลาเพลินๆ และแวะลงไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ ที่เรือแวะพัก ว่ากันว่าการใช้ชีวิตบนเรือสำราญอาจจะถูกกว่าการอยู่ใน Nursing Home ด้วยซ้ำ!

ด้วยความที่เรือสัญชาติอิตาเลียน Costa Venezia ลำนี้เดินทางครั้งนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เรือยังใหม่เอี่ยมอยู่มาก และมีกลิ่นอายของอิตาลีอยู่พอสมควร (ขนมปังและพาสต้าบนเรืออร่อยมาก น่าจะเป็นเพราะได้เครื่องปรุงมาจากที่อิตาลี) นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินทางตามรอยมาร์โคโปโลตามคำโปรยของเรือ โดยออกจากอิตาลีที่เมือง  Trieste และมาสิ้นสุดเส้นทางที่ Yokohama ประเทศญี่ปุ่น

ว่าด้วยเรื่องอาหารบนเรือ แพคเกจห้องพักจะรวมค่าอาหารทุกมื้อไว้เรียบร้อยแล้ว โดยห้องอาหารที่รวมในแพคเกจคือ Canal Grande Restaurant, Marco Polo Restaurant และ Lido Marketplace แต่บนเรือก็จะมีร้านอาหารที่ไม่รวมอยู่ในแพจเกจอยู่ด้วย เช่น ร้าน Lu Hot Pot (สุกี้สไตล์จีน) ร้าน Yan Teppanyaki (เทปปันยากิ) ร้านอาหารทะเล Frutti Di Mare ร้านสเต๊ก La Fiorentina Steak House ฯลฯ เป็นต้น เผื่อทานวนๆ ไปแล้วเบื่อ ก็จะได้เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง

สำหรับเรือที่มีผู้โดยสารกว่า 3000 คน การจัดการเรื่องร้านอาหารนับว่ามีความสำคัญมาก ดังนั้น แขกแต่ละห้องจะได้รับบัตรที่กำหนดเรื่องสถานที่และรอบการรับประทานอาหารเอาไว้ โดยจะแบ่งเป็น First Seating ที่เริ่มตั้งแต่ 17.45 น. และ Second Seating ที่เริ่ม 20.15 น. โดยอาหารกลางวันและอาหารเย็นในห้องอาหารที่กำหนดจะเป็น set menu แบบ 3 และ 5 คอร์ส เพื่อให้ง่ายต่อการสั่งและเสิร์ฟ แต่ถ้าอยากทานแบบบุฟเฟ่ต์และบริการตนเองก็สามารถเลือกร้าน Lido Marketplace ได้ ซึ่งที่นั่นจะเป็นแบบ open sitting คือจะทานตอนไหนก็ได้ไม่ได้กำหนด (ตราบใดที่ร้านอยู่ในช่วงเปิดให้บริการ ซึ่งก็แทบจะทั้งวัน) แต่เมนูแต่ละวันและแต่ละมื้อก็จะคล้ายๆ กัน และไม่ได้หลากหลายเหมือนบุฟเฟ่ต์โรงแรมที่บ้านเรา

IMG_8214
appetizer

เครื่องดื่มในห้องอาหารแบบ sit down dinner จะไม่รวมอยู่ในแพคเกจ ดังนั้นจะต้องจ่ายเงินต่างหาก (แต่บนเรือก็มีแพคเกจเครื่องดื่มให้เลือกซื้ออยู่ด้วยเหมือนกันค่ะ มีหลายแพคเกจขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องดื่มและปริมาณด้วย) แต่ถ้าเป็นที่ห้องอาหาร Lido Marketplace จะมีตู้กดน้ำเปล่าให้ และมีชา-กาแฟบริการฟรี

IMG_8186
ลาเต้ร้อนๆ

แต่ถ้าอยากได้กาแฟลาเต้ หรืออื่นๆ เป็นพิเศษ สามารถสั่งได้จากที่ Cafe หรือบาร์ค่ะ ราคาถ้วยละราวๆ 100 บาท

IMG_8206
Juventus Museum

สำหรับใครที่เป็นแฟนฟุตบอลของ Juventus บนเรือ Costa Venezia ก็มีพิพิทธภัณฑ์ Juventus Museum เล็กๆ ให้ได้เดินชม ชั้นบนของเรือมีสนามฝึกซ้อมฟุตบอลและครูสอนตามรอบที่กำหนด และยังมีร้านขายของที่ระลึกของทีมให้แวะช้อปด้วย

แต่ละวันในเรือ ก็เป็นการใช้เวลาสบายๆ นั่งรับลม เดินเล่น และร่วมกิจกรรมตามที่เราสนใจ อย่างเช่น แข่งปาเครื่องบินกระดาษ (ซึ่งเค้าจัดให้เป็นกิจกรรมสำหรับผู้ใหญ่) ฯลฯ

เรือมาถึงที่แหลมฉบังช่วงเช้าวันที่ 16 เมษายนค่ะ ซึ่งผู้โดยสารทุกคนต้องลงจากเรือเพื่อผ่านพิธีศุลกากรที่ประเทศไทย แล้วจึงจะกลับขึ้นเรือใหม่ หรือซื้อทัวร์แบบ day trip ไปเที่ยว (มีทั้งทัวร์กรุงเทพฯ พัทยา และอยุธยา ตามความสนใจ) ร้านค้าปลอดภาษีและคาสิโนก็ปิดให้บริการ ส่วนพวกเราก็ยังคงอยู่บนเรือกันอีก 1 คืน เพราะกำหนด check out คือเช้าวันที่ 17

เรือ Costa Venezia แวะจอดที่แหลมฉบัง 1 คืนและมีแผนจะเดินทางต่อไปเวียตนามในช่วงเย็นของวันที่ 17

ในคืนวันที่ 16 พวกเราต้องเตรียมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้หน้าห้องก่อนเที่ยงคืน เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาทยอยขนกระเป๋าลงไปให้ ส่วนของใช้ส่วนตัวที่เหลือจะต้องใส่ในกระเป๋าถือใบเล็กที่สามารถถือลงเองได้ สำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ บนเรือ ก็จะมีใบสรุปมาให้ในคืนนี้ โดยเค้าจะหักค่าใช้จ่ายไปจากบัตรเครดิตที่เราได้ลงทะเบียนไว้ในวันแรกที่ขึ้นเรือนั่นเองค่ะ

IMG_8318

ได้เวลาบอกลาเรือ Costa Venezia บ้านลอยน้ำของเราตลอด 4 คืนที่ผ่านมากันแล้ว พร้อมกับความประทับใจของประสบการณ์ล่องเรือครั้งแรกของพวกเรา

จนกว่าจะพบกันใหม่ Arrivederci!

 

 

สงกรานต์ สิงคโปร์ (เรือ)สำราญ – วันที่สาม

วันนี้พวกเราจะบอกลาสิงคโปร์กันแล้ว เพื่อออกเดินทางไปกับเรือ Costa Venezia ค่ะ

โปรแกรมสบายๆ ของเราวันนี้เริ่มจากว่ายน้ำเล่นที่ Infinity Pool บนชั้น 25 ของ Andaz Singapore

สระว่ายน้ำบนชั้น 25 ในยามเช้าแบบนี้ยังเงียบสงบ มีวิวสวยๆ จากมุมสูงให้ดูเพลินๆ ส่วนเด็กๆ ก็สนุกกับการเล่นน้ำโดยไม่สนใจความเย็นของน้ำกันเลย (แน่นอนว่าทำลายความสงบในยามเช้าไปในทันใด!)

อาหารเช้าที่ Andaz เป็นแบบ international buffet หลากหลายไปด้วยสารพัดอาหารสดใหม่ ด้วยวัตถุดิบคุณภาพดี และมีชาชักแบบสิงคโปร์ให้ลองชิมกันด้วยค่ะ

เมื่อท้องอิ่ม ก็ได้เวลาออกเที่ยวกันแล้วค่ะ วันนี้เราจะไปเที่ยวที่ Gardens by the bay และ ArtScience Museum ค่ะ

ไปกันเลย!

ประเทศสิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็น garden city ตามนโยบายของท่านลีกวนยู ตั้งแต่ปี 1967 จึงไม่น่าแปลกที่ทุกวันนี้สิงคโปร์ซึ่งแม้จะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ที่มีทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด กลับอุดมสมบูรณ์ไปด้วยบรรดาต้นไม้น้อยใหญ่ที่สร้างความร่มรื่นสบายตาสบายใจให้แก่ผู้มาเยือน ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้า และตึกสูงเสียดฟ้า เรายังคงได้พบกับสวนสาธารณะและต้นไม้ในทุกๆ ที่ที่เราเดินทางผ่าน

Gardens by the bay นับเป็น mega project ที่เริ่มต้นโครงการมาตั้งแต่ปี 2006 โดยมีการประกวดการออกแบบซึ่ง 2 บริษัทที่ได้รับเลือกทั้ง Grant Associates และ Gustafson Porter ต่างก็มาจากสหราชอาณาจักร

สวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางมาก และแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ Bay Central, Bay East และ Bay South ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาทั้งวันที่นี่ได้เลย แต่ด้วยเวลาที่จำกัด เราจึงมุ่งไปที่ Bay South ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Flower Dome และ Cloud Forest ค่ะ

IMG_8038

การเดินเล่นในโดมกระจกที่มีแอร์เย็นๆ หลีกหนีจากอากาศร้อนภายนอกนี่ทำให้หายเหนื่อยและรู้สึกสดชื่นได้เลยค่ะ

Flower Dome ต้อนรับเราด้วยภาพถ่ายดอกไม้นานาพันธุ์ที่ขยายใหญ่ให้เห็นถึงรายละเอียดและชวนให้นึกถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่รังสรรค์สารพัดสีสันที่แสนสวยงามเหล่านี้

IMG_8012
ลองแนบหน้ากับต้นไม้กลายเป็นหิน ที่มีผิวสัมผัสเรียบลื่นและเย็น เป็นผิวสัมผัสใหม่ๆ ที่เด็กๆ สนใจค่ะ

ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ในโดมได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและเป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติที่น่าสนใจมากทีเดียวค่ะ มีการจัดแบ่งพันธุ์ไม้ตามถิ่นที่อยู่ ให้เราได้เข้าใจถึงสภาพธรรมชาติและพันธุ์ไม้ต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลก

รูปทรง สีสัน และพื้นผิวต่างๆ ยังสร้างแรงบันดาลใจในการออกแบบต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

IMG_8057
ใต้ร่มเงาแห่งดินแดนเมดิเตอร์เรเนียน

ในช่วงนี้ ที่ Flower Dome มีนิทรรศการดอกทิวลิป Tulipmania Floral Display ซึ่งให้บรรยากาศราวกับชนบทของเนเธอแลนด์ มีทั้งดอกทิวลิปหลากสี กังหันน้ำ และบ้านชนบทแบบดัชท์ที่น่ารัก ให้เดินชมกันเพลินๆ เด็กๆ สนใจกับกังหันน้ำเป็นพิเศษ

นอกจากสวนดอกไม้แล้วก็มีกิจกรรมออกร้าน ทั้งอาหารการกิน เกม และงานประดิษฐ์ให้เด็กๆ ได้สนุกกันอีกด้วยค่ะ

เด็กๆ ลองเล่นเกมพื้นบ้านของชาวดัชท์ที่เรียกว่า Sjoelen (shuffleboard) ซึ่งมีกติกาให้ปัดเหรียญไม้กลมๆ ให้เข้าช่อง โดยแต่ละช่องมีคะแนนไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าทำคะแนนรวมได้ตามที่กำหนด ก็จะได้รับรางวัล

IMG_8100

ออกจาก Flower Dome เราก็ไปต่อกันที่ Cloud Forest ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่น้ำตกสูง 30 เมตร นับว่าเป็นน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก พันธุ์ไม้ในโดมนี้จะเป็นพันธุ์ไม้แบบ tropical ดอกกล้วยไม้และเฟิร์นต่างๆ มีทางเดินแบบ tree top walk ให้ชมยอดไม้และพันธุ์ไม้ต่างๆ จากมุมสูง

เด็กๆ สนใจพืชกินแมลง อย่างหม้อข้าวหม้อแกงลิงและกาบหอยแครงที่จัดแสดงไว้อย่างสวยงามและน่าสนใจค่ะ

ออกจาก Gardens by the bay เราก็มุ่งหน้าไปที่ ArtScience Museum ซึ่งตั้งอยู่ใน Marina Bay Sands

วันนี้เป็นวันแรกของนิทรรศการ Wonderland ที่บอกเล่าเรื่องราวของวรรณกรรมเยาวชนสุดคลาสสิก อย่าง Alice ‘s Adventure in Wonderland ผลงานของ Lewis Carroll (โปรแกรมนี้ของตามใจแม่นิดนึง ^_^)

เราซื้อบัตรชมนิทรรศการ Wonderland และ Future World ผ่านทาง website ซึ่งเราสามารถเลือกช่วงเวลาเข้าชม และดาวน์โหลดตั๋วไปแสดงที่ทางเข้าได้เลย ไม่จำเป็นต้องนำ code ไปแลกบัตรอีกครั้ง

ด้วยความที่เป็นวันแรกของนิทรรศการ Wonderland ทำให้มีคิวเข้าชมค่อนข้างยาวค่ะ ก่อนเข้าทุกคนจะได้รับแผนที่ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ว่าจะได้รับแผนที่ของตัวละครตัวไหน บ้านเราได้ทั้ง Queen of Heart, Rabbit และ Mad Hatter ซึ่งเมื่อนำไปวางในจุดที่เค้ากำหนดไว้ ก็จะมี animation สั้นๆ ขึ้นมาให้ชม โดยแต่ละตัวละครก็จะมี animation ที่แตกต่างกัน เป็นการให้คนดูได้ร่วมสนุกไปด้วยระหว่างชมนิทรรศการ

IMG_8133

เมื่อเดินเข้าไปก็จะพบกับประตูต่างๆ ให้เลือก ราวกับว่าเราเป็นอลิซ แน่นอนว่าเด็กๆ เลือกประตูจิ๋วที่เราต้องคลานผ่านเข้าไปค่ะ

ภายในมีการจัดแสดงที่หลากหลาย ทั้งภาพโปสเตอร์จากทั้งภาพยนตร์ การ์ตูน ที่มีหลากหลายเวอร์ชั่น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิ่งของประกอบฉาก และเสื้อผ้าที่นักแสดงเคยใส่จริง รวมไปถึงผลงานศิลปะหลากหลายที่ได้แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมเรื่องนี้ มีทั้งที่สวยงาม น่าแปลกใจ และบางครั้งก็ดูตลกแบบเสียดสี

IMG_8136
โปสเตอร์จากญี่ปุ่น
IMG_8148
weird and wonderful
IMG_8131
ลายเส้นภาพประกอบสุดคลาสสิคจากภาพพิมพ์ไม้ ผลงานของ John Tenniel นำมาทำเป็น display ประกอบนิทรรศการ

สำหรับเด็กๆ การนำสติกเกอร์มาแปะที่ไพ่ด้านหลังของแผนที่แล้วนำไปสแกนพร้อมถ่ายรูปเพื่อทำเป็นทหารไพ่ของ The Queen of Hearts ก็เป็นกิจกรรมแบบ interactive ที่น่าสนุกดีค่ะ

IMG_8152

และที่พลาดไม่ได้สำหรับ ArtScience Museum คือ A Mad Tea Party ที่จัดแสดงแสงสีเสียง audiovisual ในรูปแบบที่น่าสนใจ ราวกับเราเป็นส่วนหนึ่งของปาร์ตี้นำ้ชาแสนอัศจรรย์ในป่าแห่งเวทมนตร์ ซึ่งเราจะต้องใช้บัตรเชิญตามรอบที่เค้ากำหนดเพื่อเข้าห้องนี้

IMG_8158

แนะนำว่าใครที่เป็นแฟนตัวยงของ Alice in Wonderland ไม่ควรพลาดนิทรรศการนี้ค่ะ ซึ่งจะจัดถึง 22 กันยายน 2562 นี้

ออกจากแดนมหัศจรรย์ของอลิส เราก็ไปชมอีก 1 นิทรรศการถาวรของที่นี่ ก็คือ Future World ที่เค้ามีคำโปรยเอาไว้ว่า Where art meets science ตรงกับคอนเซปท์ของที่นี่เป๊ะค่ะ

ที่นี่เน้น digital art ที่มาในแนว interactive เป็นกิจกรรมที่เรามีส่วนร่วม เน้นประสบการณ์แปลกใหม่ เหมือนเราเข้าไปในโลกของแสงสี แน่นอนว่าเราถูกห้อมล้อมไปด้วยจอขนาดยักษ์!

IMG_8163

ในส่วนของ Sketch Town มีกิจกรรมของ teamLab ที่เด็กๆ สามารถออกแบบระบายสีแล้วนำไปสแกนเพื่อฉายเป็นส่วนหนึ่งของ Sketch Town ได้

IMG_8168

ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีแบบนี้ ก็สนุกดีค่ะ แต่ถ้าอยู่นานๆ ก็มึนได้เหมือนกัน เราเลยใช้เวลาที่นี่ไม่นานมาก แล้วก็แวะไปเติมพลังที่ศูนย์อาหารของ The Shoppes ก่อนกลับไปขนสัมภาระเพื่อตรงไปที่ท่าเรือ Marina Bay Cruise Centre เพื่อรอขึ้นเรือ Costa Venezia กันค่ะ

กำหนดเรือออกจากท่าคือเวลา 23.59 น ของคืนนี้ และผู้โดยสารทุกคนจะต้องขึ้นเรือภายในเวลา 20.00 น. ค่ะ

การเตรียมตัวโดยทั่วไปคือเตรียมเอกสารการเดินทาง บัตรขึ้นเรือ และ luggage tag ซึ่งเราจะต้องปริ้นท์มาเอง (ครอบครัวเราไม่ได้ไปพร้อมกรุ๊ปทัวร์ ก็เลยต้องจัดการเองทุกอย่าง) การขึ้นเรือก็จะมีกฏเกี่ยวกับของที่ห้ามนำขึ้นเรือ เช่น เตารีด ไดร์เป่าผม ปลั๊กพ่วง เครื่องดื่มแอลกอฮอล เป็นต้น เราจึงควรศึกษารายละเอียดพวกนี้ให้ดีก่อนนะคะ แต่หากลืม หรือเผลอนำไปด้วย ทางเรือจะนำไปเก็บไว้ให้และส่งคืนเมื่อเราลงจากเรือ

ก่อนขึ้นเรือ เราก็ผ่าน immigration ที่ท่าเรือค่ะ ส่วนของกระเป๋าเดินทางที่ติด tag เสร็จแล้ว และมีทางเชื่อมไปยังเรือเลย (สะดวกสบายมาก เหมือนตอนขึ้นเครื่องบิน)

ระหว่างที่อยู่บนเรือ เจ้าหน้าที่จะเก็บ passport ของเราไว้ และจะส่งคืนให้เมื่อเรือเข้าเทียบท่า เพื่อให้เรานำไปผ่านพิธีการเข้าเมือง

ค่าใช้จ่ายบนเรือที่เป็นแพคเกจของเรา รวมค่าห้องพัก ค่าอาหารทุกมื้อ และกิจกรรมต่างๆ ไว้แล้ว แต่จะไม่รวมค่า wifi ค่าเครื่องดื่ม (ซึ่งสามารถซื้อแพคเกจต่างหาก หรือจ่ายเงินซื้อเป็นครั้งๆ ไปก็ได้) ค่าบริการสปา service charge และค่าอาหารสำหรับห้องอาหารที่ไม่รวมอยู่ในแพคเกจ เป็นต้นค่ะ

ราคาแพคเกจจะขึ้นอยู่กับชนิดของห้องที่เลือก โดยราคาต่ำสุดจะเป็นห้องแบบไม่มีหน้าต่าง ซึ่งเราคิดว่าน่าจะอึดอัดอยู่ ก็เลยเลือกแบบห้องมีหน้าต่างและอยู่ในโซนที่ดีค่ะ หลายคนอาจจะเลือกห้องแบบ balcony ที่มีระเบียงให้ออกไปนั่งเล่นรับลมได้ แต่หากมีเด็กซนๆ ไปด้วยอย่างเราก็คงต้องระวังเป็นพิเศษ

เมื่อขึ้นไปบนเรือ ในห้องพักจะมีแผ่นพับที่ชื่อว่า Diario di bordo ซึ่งจะมีรายละเอียดกิจกรรมและข้อมูลต่างๆ ของแต่ละวันระบุไว้ และมีบัตรที่ระบุห้องอาหาร เบอร์โต๊ะ และเวลาทานอาหารเอาไว้ให้ด้วย

การใช้จ่ายบนเรือจะทำผ่านบัตร Costa card ทั้งหมด โดยผู้โดยสารทุกคนจะได้รับบัตรนี้ เพื่อใช้เข้าห้อง และจ่ายเงินเมื่อซื้อของทุกอย่างบนเรือ (ยกเว้นคาสิโน) และจะต้องนำบัตรไปลงทะเบียนผูกกับบัตรเครดิตไว้ก่อน (หรือถ้าไม่มีบัตรก็จะต้องมัดจำเป็นเงินสดค่ะ)

ห้องนอน ถ้านอน 3 คน เค้าจะปรับโซฟาให้เป็นเตียงเสริม
ห้องน้ำเล็ก แต่สะดวกสบายดีค่ะ มี 2 ห้อง คือห้อง shower+ห้องน้ำ และห้องอาบน้ำแบบอ่างอาบนำ้

กิจกรรมสำคัญบนเรือก่อนที่จะออกเดินทางก็คือการซ้อมอพยพค่ะ ซึ่งผู้โดยสารทั้งหมดจะต้องไปรวมตัวที่จุดรวมพล (muster point) ตามเวลาที่กำหนด พร้อมกับใส่เสื้อชูชีพไปด้วย โดยเด็กๆ จะมีสายรัดข้อมือที่ระบุจุดรวมพลไว้ และมีเสื้อชูชีพสำหรับเด็กด้วยค่ะ เที่ยวสนุกก็ต้องไม่ลืมเรื่องความปลอดภัยด้วยนะคะ เมื่อไปที่จุดรวมพล เจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายขั้นตอนและเสียงสัญญาณต่างๆ ซึ่งเราควรตั้งใจฟัง เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เราจะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้เรามาสำรวจเรือกันต่อนะคะ

สงกรานต์ สิงคโปร์ (เรือ)สำราญ – วันที่สอง

วันนี้เป็นอีกวันที่เด็กๆ ตั้งตารอ เพราะเราจะข้ามประเทศไปเที่ยวที่เลโกแลนด์ มาเลเซียกันค่ะ

หลังจากหาข้อมูลมาแล้วว่าถ้าข้ามไปเที่ยวที่เลโก้แลนด์จากสิงคโปร์จะนั่งรถใกล้และสะดวกดี เราก็จองตั๋วรถบัสแบบไปกลับจาก Singapore Flyer และ ซื้อบัตร Legoland แบบรวมสวนนำ้ด้วย โดยผ่าน application Klook ซึ่งสะดวกดี ไม่ต้องเอา code ไปแลกตั๋ว และได้ส่วนลดนิดหน่อยด้วย

ค่ารถไปกลับ Legoland – Singapore Flyer คนละประมาณ 500 กว่าบาท (เด็กและผู้ใหญ่ราคาเท่ากัน) และค่าเข้า Legoland + Water park คนละประมาณ 1700 กว่าบาทสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนเด็กและผู้สูงอายุราคาเท่ากัน อยู่ที่ประมาณ 1300 กว่าบาท (สำหรับใครที่คิดว่าจะกลับมาเที่ยวอีก สามารถนำตั๋วไปอัพเกรด โดยจ่ายเงินเพิ่มที่ Legoland แล้วทำเป็นตั๋วปีได้ค่ะ) ช่วงที่เราไปถือว่าเป็นช่วง low season มีฝนตก คนก็จะไม่เยอะมาก และราคาตั๋วจะถูกกว่าช่วงอื่นๆ ค่ะ

ระหว่างทาง เราจะต้องลงจากรถเพื่อผ่าน Immigration ทั้งของสิงคโปร์และมาเลเซีย (และขากลับก็ต้องผ่าน Immigration เช่นเดียวกัน แถมขากลับรถติดที่ด่านยาวมากๆ ด้วย ถ้ากลัวเด็กๆ หิว คงต้องแวะทานอาหารที่ Legoland ก่อนกลับมาขึ้นรถนะคะ เพราะบนรถไม่อนุญาตให้ทานอาหารและเครื่องดื่มค่ะ)

พอไปถึงเจ้าหน้าที่แนะนำให้เราไปเล่นน้ำที่สวนน้ำก่อน เพราะพยากรณ์อากาศวันนี้ว่าไว้ว่าช่วงบ่ายจะมีพายุฝนฟ้าคะนอง และถ้ามีพายุ เค้าจะปิดบริการโซนสวนน้ำ

IMG_7968

Water Park ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่เด็กๆ ก็สนุกค่ะ มีโซนให้นั่งบนห่วงยางล่องไปตามน้ำ ที่เด็กๆ ล่องกันไป 2 – 3 รอบจนตัวเกรียมกันถ้วนหน้า และโซนปีนป่าย สไลเดอร์ ปืนฉีดน้ำ เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก

ส่วนของสวนสนุก ก็มีเครื่องเล่นที่เด็กเล็กเล่นได้พวกรถไฟ สนามเด็กเล่น โซนขับรถ (แบ่งตามช่วงอายุ) และมีกิมมิคเก๋ๆ อย่างการให้เด็กๆ ทำใบขับขี่เป็นของตัวเอง และแน่นอนว่ามีโซน Miniland ที่นำเลโก้มาต่อเป็นสถานที่สำคัญต่างๆ ในมาเลเซียและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เดินดูเพลินๆ

ถ้าหากเดินเมื่อยแล้ว ก็สามารถขึ้น Observation Tower ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ให้เราได้ชมวิวจากมุมสูงได้ด้วย หรือจะไปชมภาพยนตร์ 4D ใน LEGO Studio ก็ได้

IMG_7977

เลโก้แลนด์ขนาดไม่ใหญ่มาก ประกอบกับช่วงที่เราไปคนไม่เยอะจึงไม่ต้องรอคิวเล่นนานค่ะ บางเครื่องเล่น เด็กๆ ก็ขอเล่น 2 รอบเลย และเราก็โชคดีที่วันนี้ไม่มีพายุฝนฟ้าคะนองตามที่พยากรณ์อากาศบอกไว้ มีแค่ฝนปรอยๆ นิดหน่อย

ก่อนออกจาก Legoland เราแวะร้าน The Big Shop ที่อยู่ใกล้ทางเข้า ที่นี่มีเลโก้หลายแบบให้เลือกมากๆ และของที่ระลึกอื่นๆ สำหรับแฟนเลโก้ค่ะ ช้อปเสร็จก็เดินไปที่จุดรอรถบัส (ที่เดียวกับที่ลงจากรถเมื่อตอนเช้า) และเดินทางกลับสิงคโปร์

วันนี้เรามีแพลนจะไปทานปูผัดพริกไทยดำกัน แต่ร้านที่เลือกไว้เป็นอันดับแรกที่นั่งเต็ม ก็เลยไปลองร้าน Holy Crab กัน กว่าจะกลับถึงสิงคโปร์ก็ทุ่มกว่าแล้ว หิวขนาดนี้ ร้านไหนก็ได้ค่ะ ปูผัดพริกไทยดำของที่นี่อร่อยดีค่ะ เมนูปูมีซอสผัดให้เลือกหลายอย่าง ส่วนอาหารอื่นๆ ถึงจะมีเมนูให้เลือกไม่มาก (ไม่ได้เป็นร้านซีฟู๊ดโดยตรง) แต่อาหารที่เราสั่งมาก็อร่อยและจานใหญ่มากกก

ร้านนี้อยู่ใกล้ๆ โรงแรม พอทานเสร็จก็เลยได้โอกาสเดินกลับโรงแรมและเดินย่อยไปในตัว

 

สงกรานต์ สิงคโปร์ (เรือ)สำราญ – วันแรก

วันหยุดสงกรานต์ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เรามักจะไปทัวร์กับครอบครัว(ตัว)ใหญ่ ชนิดเหมารถทัวร์กัน ไปเที่ยวแถวๆ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน

ปีนี้เราตัดสินใจแยกตัวไปล่องเรือกัน 5 คน พ่อ แม่ ลูก 2 คน และ ปู่ เพราะได้ยินมาว่ามีเรือ Costa Venezia เรือสำราญลำใหม่จากอิตาลีกำลังจะเดินทางรอบปฐมฤกษ์ผ่านมาแถวสิงคโปร์ช่วงสงกรานต์พอดิบพอดี เราเลือกทริปเดินทางออกจากสิงคโปร์ในวันที่ 13 เมษายน และมาขึ้นที่ท่าแหลมฉบังในวันที่ 17 เมษายน โดยตั้งใจว่าจะเป็นทริปเอาใจเด็กๆ โดยเฉพาะค่ะ

เราซื้อเฉพาะแพ็คเกจบนเรือ (ไม่รวมค่าเดินทาง+ทัวร์สิงคโปร์) เพราะคิดว่าจะพาเด็กๆ ไปแวะเที่ยวที่สิงคโปร์และ Legoland Malaysia ล่วงหน้าก่อนซัก 2 – 3 วัน ทริปใกล้ๆ บ้านครั้งนี้เลยค่อนข้างยาว เพราะออกเดินทางกันตั้งแต่วันที่ 11 เมษายนและกลับถึงบ้านวันที่ 17 เมษายนนั่นเลย

IMG_7910

ไปถึงสิงคโปร์วันแรก ก็ตรงไปที่โรงแรม Andaz Singapore โรงแรมน้องใหม่ ดีไซน์เก๋ในเครือ Hyatt ที่อยู่ในย่าน Bugis กัน

ห้องพักที่นี่กว้างขวาง สะดวกสบาย ดีไซน์เรียบเก๋ ที่นอนกว้างมาก (นอน 4 คนเรียงกันก็ยังได้เลยทีเดียว) วิวชั้น 33 ที่เราพัก ก็ถือว่าสวยใช้ได้เลย และมาพร้อมกับ complimentary minibar ที่มีสารพัดเครื่องดื่ม มันฝรั่งทอด ช็อคโกแล็ต ซีเรียลบาร์ nespresso capsule และชา TWG ด้วย (อันนี้เก็บกลับบ้านมาด้วย 555)

เก็บข้าวของ และให้ลูกทำการบ้านเสร็จก็บ่ายแก่ๆ แล้ว เราเลยเลื่อนโปรแกรมไปเที่ยว Garden by the Bay ไปเป็นวันที่ 13 แทน และนั่ง taxi ไปเดินเล่นกันที่ The Shoppes at Marina Bay Sands ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าหรู บรรยากาศชวนให้นึกถึง Icon Siam เพราะอยู่ติดริมน้ำเหมือนกัน

IMG_7926

ร้านรวงหรูหราเหมาะสำหรับการ window shopping และมีคลองเล็กๆ และเรือ sampan ให้นั่งเล่นด้วย เสียดายที่ตอนเราไปเดินเล่น ไม่มีน้ำอยู่ในอ่างยักษ์ Rain Oculus ผลงานศิลปะของ Ned Khan ไม่อย่างนั้นเด็กๆ คงจะได้ตื่นตาตื่นใจกัน

Marina Bay Sands มีทั้งส่วนโรงแรม ช้อปปิ้ง คาสิโน ร้านอาหาร รวมไปถึงพิพิทธภัณฑ์ ArtScience ที่เรา(จริงๆ ก็คือฉันนั่นเอง เพราะเหลือบไปเห็นโปสเตอร์โฆษณานิทรรศการ Wonderland)จะมาแวะดูในวันที่ 13 กันด้วย

พื้นที่ของห้างที่อยู่ริมแม่น้ำสิงคโปร์ถือว่าจัดสรรได้ดีทีเดียว ยามเย็นแบบวันนี้ มีทั้งคนออกมาวิ่ง เดินชมวิว นั่งดื่มในบาร์ ดูมีชีวิตชีวา แน่นอนว่าถ้าอากาศเย็นสบายกว่านี้อีกนิดก็จะดีมากๆ เลยทีเดียว

มื้อเย็นวันนี้ เราเอาใจเด็ก(อีกแล้ว) ด้วยการไปทานอาหารที่ DC Super Heroes Cafe ร้านอาหารธีมซุปเปอร์ฮีโร่ที่แม่อย่างฉันไม่อินเอาซะเลย แต่ถ้าใครเป็นสาวก super heroes แล้วล่ะก็ คงชอบที่นี่เพราะตกแต่งไปด้วยสารพัดลาย super hero และมีสินค้าซุปเปอร์ฮีโร่ให้ได้ช้อปกันอีกด้วย

อิ่มแล้ว ก็แวะเดินย่อยนิดหน่อย จนเด็กๆ มาเจอกับ Digital Light Canvas ที่ฉายภาพฝูงปลาที่ว่ายเวียนวนไปมาให้เด็กๆ ได้วิ่งไล่ให้แตกฝูง ก็เลยหลงแสงสีกันอยู่พักใหญ่ (โถ อุตส่าห์ให้ลูกหลีกเลี่ยงจอทีวีมาตั้งนาน มาเจอจอยักษ์แบบนี้เข้าไปแทน) ตัว digital canvas นี้มีแบ่งโชว์เป็น 2 ส่วนค่ะ คือ ฝูงปลาที่จะเป็นแนวช้าๆ สบายๆ ดนตรีเบาๆ กับชุดลายเส้นและดอกไม้ที่มีชีวิตชีวา เด็กๆ เล่นกันจนเค้าปิดตอน 3 ทุ่มถึงจะยอมกลับ

IMG_7931IMG_7941

ถ้าแวะมาดู Digital Light Canvas แนะนำไอศครีมที่ร้าน Venchi ซึ่งขายช็อคโกแลตและเจลาโต้สไตล์อิตาเลียน ส่วนตัวชอบไอศครีม strawberry chocolate chips ของที่นี่มากค่ะ

IMG_7944

หมดวันแรกกันแบบอิ่ม+สนุกเบาๆ ก่อนพักเอาแรงเตรียมลุยเลโก้แลนด์ มาเลเซียกันต่อในวันพรุ่งนี้ค่ะ

อารัมภบท – ไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์

IMG_5391

– Sólfar ผลงานประติมากรรมโดย Jón Gunnar Árnason ศิลปินชื่อดังชาวไอซ์แลนด์

เมื่อเหนื่อยล้ากับการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เที่ยวแบบเดิมๆ กิจวัตรแบบเดิมๆ ของมนุษย์แม่+มนุษย์เงินเดือน วันแล้ววันเล่าที่หมุนวนมาเป็นแรมปี ราวกับติดอยู่ในวังเวียนเวลาของ Miss Peregrine ฉันจึงคิดอยากพักจากวงจรนั้น เพื่อออกมา”หายใจ”เอาอากาศและบรรยากาศแปลกใหม่ให้กับชีวิตบ้าง และประเทศหนึ่งที่มาตอบโจทย์การหลุดพ้นจากโลกจำเจนั้นก็คือไอซ์แลนด์

แรงบันดาลใจของการไปเที่ยวไอซ์แลนด์ในตอนแรกนั้น เริ่มมาจากแสงสีเขียวที่หลายคนหมายตาว่าจะต้องเห็นสักครั้งในชีวิต (ฉันเองก็อยากเห็นกับเค้าบ้างเหมือนกัน) จึงเริ่มหาข้อมูลโดยการไปร่วมฟัง brief เกี่ยวกับประเทศที่ไม่คุ้นชินประเทศนี้ (ก่อนหน้านั้น มีเพียง 3 สิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับไอซ์แลนด์ คือ ประเทศนี้เป็นบ้านเกิดของนักร้องสาวหลุดโลกนามว่า Björk – ประเทศนี้มีแสงเหนือ – ประเทศนี้มีภูเขาไฟที่เคยทำให้การจราจรทางอากาศของยุโรปเป็นอัมพาตไปเมื่อปี 2010)

กิจกรรมในครั้งนั้นจุดประกายความฝันที่ฉันคิดว่าจะต้องทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ ภาพของก้อนน้ำแข็งสีฟ้าที่ลอยอยู่ในลากูนหนาวยะเยือก หาดทรายสีดำสนิท ภูเขาไฟปะทุคุกรุ่น มหกรรมน้ำตกนับร้อยแห่ง และคำโปรยที่ว่าประเทศนี้ไม่เหมือนที่ใดในโลก จนบางครั้งก็ทำให้ผู้มาเยือนนึกสงสัยว่าเราอยู่บนดาวดวงใดในจักรวาลแห่งนี้ สะกดใจให้คิดว่าที่นี่แหละคือคำตอบ

ความอยากนั้นง่าย แต่การทำให้ความอยากนั้นกลายมาเป็นความจริงนั้นต่างกัน

กว่า 2 ปี ที่ฉันฝันถึงการผจญภัยเล็กๆ และตั้งเป้าหมายให้ไอซ์แลนด์เป็น trip of a lifetime

การเดินทางจากความอยาก มาเป็นแผน จวบจนออกผลเป็นทริป 13 วันที่ผ่านมานั้น เป็นเส้นทางที่ยาวไกลและปะปนไปด้วยอุปสรรค ความหวัง ความผิดหวัง ความวิตก สารพัดสารพัน แต่ก็มีสีสันและทำให้รู้ว่าการเดินทางนั้นให้ประสบการณ์มากกว่าการไปถึงที่หมายเพียงอย่างเดียว

พ.ล.ท. ตอนแรก

เนื่องจากช่วงที่พวกเราไปเที่ยวเป็นช่วงสงกรานต์พอดิบพอดี เราจึงไม่มีโอกาสเลือกไฟลทเดินทางสักเท่าไหร่ (ปกติเราเป็นพวกต้องเที่ยวให้คุ้ม จึงมักจะเลือกไฟลทที่ออกเดินทางกลางคืน แล้วไปถึงญี่ปุ่นยามเช้าตรู่)

สายการบิน JAPAN AIRLINES พาชาวคณะ ประกอบด้วย แม่ 1 คน พ่อ 1 คน ลูก 1 คน และน้าชาย 1 คน มาถึงสนามบินนาริตะในเวลาบ่าย 4 โมงกว่าๆ

กว่าจะผ่านด่านตม. (ซึ่งคุณเจ้าหน้าที่ใจดีเห็นเรามากับเด็ก เลยให้ไปช่อง priority ^^) รอสัมภาระ กางรถเข็น กระเตงลูกกันเรียบร้อยก็ปาไป 5 โมง เรานัดแนะกับน้องสาวที่เดินทางมาถึงก่อน ว่าจะนั่ง Skyliner ไปเจอที่ Nippori แล้วค่อยต่อแท็กซี่ไป รร APA ย่านอะกิฮะบะระ

ไปๆ มาๆ ก็มีอันต้องเปลี่ยนแผน เพราะดูเวลาแล้วไม่น่าจะทันเวลาอาหารเย็นที่ร้านเทมปุระที่จองเอาไว้…

การเดินทางด้วย Skyliner สะดวกดีค่ะ สำหรับคนที่พักแถวๆ Ueno เพราะรถไฟวิ่งตรงไปถึงสถานี Ueno และ Nippori เลย

ชมวิว

ตื่นตากับวิวข้างทาง – บน skyliner

เราเปลี่ยนไปลงที่สถานี Ueno แล้วเอาของไปเก็บใน locker แทน (กว่าจะเอากระเป๋าใบใหญ่ และของอื่นๆ ยัดตู้ได้ก็เล่นเอาเหงื่อออก แม้ลมเมืองโตเกียวที่พัดมายามนั้นจะยังหอบไอเย็นมาอยู่) ก่อนอื่นก็ไปพบน้องสาว แล้วพากันนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปพบญาติที่นัดไปทานเทมปุระด้วยกัน

ร้าน Tensuzu เทมปุระร้านนี้ ฉันเคยมาทานแล้วเมื่อปีก่อนกับท่านประธานบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นมานั่งเรียงกันหน้าเคาน์เตอร์เลยค่ะ แบบว่าคุณพ่อครัวทอดปุ๊ปก็หนีบอาหารลงมาวางในจานเราปั๊บ ซึ่งแน่นอนว่ามันอร่อยมาก! ถึงขนาดพ่อกับแม่บอกว่าคราวหน้าถ้ามีใครมาญี่ปุ่นจะแนะนำให้มาทานร้านนี้ ฉันจึงรับอาสาพาสามี ลูกชาย น้องสาว น้องชาย และญาติที่โตเกียวมาชิม โดยมิได้ค่านายหน้าแต่อย่างใด

พี่ก้องและจูดี้ ญาติใจดีของเราจองห้องส่วนตัวเอาไว้ ซึ่งพวกเราก็ไปถึงทันเวลาที่จองพอดี ร้านเทมปุระนี้ต้องเดินเข้าซอยไปหน่อย (ถ้าไม่มีใครเคยพามาคงไปไม่ถูก) เราสั่งชุดเทมปุระรวมชุดเล็กกันคนละชุด ส่วนของน้องพีทลูกชายได้เทมปุระผักฟรี 3 ชิ้น (ใจดีจัง) เวลาทานเทมปุระที่เมืองไทย เราจะจิ้มซอสที่ใส่ไช้เท้าบดกันใช่ไหมคะ แต่ที่ญี่ปุ่นมีทั้งจิ้มซอสและจิ้มเกลือ (บางร้านที่เคยไปทาน อย่าง Tsunahachi เค้าจะมีเกลือหลายแบบ เช่น เกลือผสมผงมัชฉะ เป็นต้น) คนญี่ปุ่นที่เคยไปทานด้วยกันบอกว่า อาหารบางอย่างถ้าจิ้มเกลือจะช่วยให้อาหารยังคงรสชาติได้ดีกว่า ประมาณว่าเข้ากันกว่าจิ้มซอส อันนี้แล้วแต่คนชอบ ส่วนฉันจิ้มมันทั้งสองอย่างเลย อร่อยหมดค่า น้องพีทเองก็เอนจอยมื้อแรกในญี่ปุ่นเหมือนกัน

คุณพี่พนักงานเสิร์ฟใจดียังเอาสติกเกอร์รูปซากุระมาให้น้องพีทด้วย (ใจดีจริงๆ) ^_^

Tensuzu เทมปุระรวมชุดเล็ก จากร้าน Tensuzu ดูเหมือนน้อย แต่ทานหมดแล้วอิ่มมากกกก

ถ้ามากับเด็กเล็ก นั่งทานในห้องจะสะดวกกว่า เพื่อลูกปีนป่ายวิ่งเล่นก็จะได้ไม่ไปรบกวนคนอื่นมากนัก แต่ถ้ามีเด็กโตมาด้วยหรือมาทานกันเอง แนะนำให้นั่งเคาน์เตอร์ค่ะ เพราะได้อารมณ์กว่ากันเยอะเลย แถมเด็กๆ คงตื่นเต้นกับการทายว่าเทมปุระชิ้นต่อไปจะเป็นอะไรน้า….

つづく