ภาพลวงตา

floating-door

Floating Door 2007 โดย Patrick Hughes ศิลปินชาวเบอร์มิ่งแฮม

ภาพลวงตาชวนให้หลงเชื่อ
สิ่งที่ตาเห็นอาจไม่ใช่ความจริง
ลวงหลอกให้ลุ่มหลง
หลงในรูป ในภาพลวง
บางทีทั้งที่รู้ก็ยังรักที่จะหลง
ระเริงกับมายา
ฤาจะไม่อยากมองเห็นความจริง

หลง หลอกตา ได้เพิ่มเติมที่

Patrick Hughes

Ames Room

Optillusions

The Invisible Price at Cardiff Castle

อ่านก่อนออก (เดินทาง)

โคมแดง

ไปไหนมาไหน ฉันก็มักจะศึกษาเส้นทางก่อน เป็นคนประเภทชอบวางแผน เห็นบางคนไปเที่ยวแบบอิมโพรไวซ์ (ไปหาที่เที่ยว ที่กิน ที่นอน เอาข้างหน้า) บางครั้งก็อยากลองทำแบบนั้นดูเหมือนกัน

แต่จนแล้วจนรอด ความเป็นจ้าวแห่งการวางแผนก็ทำให้ฉันวิ่งวุ่นหาหนังสือ แผนพับ นิตยสาร เว็บไซต์ สารพัดสารพันมาอ่านประดับความรู้ให้อุ่นใจ ก่อนออกเดินทาง

ทริปญี่ปุ่นครั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ก็เหมือนกัน ฉันอ่าน อ่าน อ่าน แล้วก็อ่าน ว่าแล้วก็เอาหนังสือที่อ่านมาแนะนำ เผื่อมีคนชอบวางแผนอย่างฉันแวะเข้ามาหาข้อมูล

หนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่น :

เจ แปน เสปค ตีบ ของคุณลมบก เล่มนี้เป็นเล่มล่าสุดที่อ่านจบ อ่านเพลินชนิดที่วางไม่ลง แม้จะไม่ได้พาไปเที่ยวที่แปลกๆ ใหม่ๆ แต่ก็ให้มุมในการมองโตเกียวในแง่สถาปัตยกรรมที่เข้าใจได้ง่าย (แม้คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการอย่างฉัน ก็เผลอมีอารมณ์ชื่นชมตึกดีไซน์สวยตามไปด้วย) แฝงอารมณ์ขัน พร้อมภาพถ่ายในมุมสวย

โตเกียว โตเกียว ไม่รู้จบ ของคุณหมู Anchalee เป็นแฟนเหนียวแน่นมาตั้งแต่เล่มแรก (โตเกียว โตเกียว) เป็นหนังสือที่พาไปรู้จักโตเกียวในมุมที่ละเมียดละไม รูปเล่มและภาพประกอบเรียบ สวย ดูดี มีดีไซน์ ตอนที่สั่งซื้อมีลายเซ็นต์คุณหมูพร้อมของแถมเล็กๆ น้อยๆ ให้ด้วย อ่อ อย่าลืม Sweet Talk อีกเล่มฝีมือคุณหมูที่อ่านแล้วอยากตามไปชิมจริงๆ ล่าสุดคุณหมูออกหนังสือเล่มใหม่ชื่อ Season Note เล่มนี้ก็ไม่น่าพลาดเช่นเดียวกันค่ะ

โตเกียว กุ๊กกิ๊ก ไกด์ ผลงานกุ๊กกิ๊กฝีมือคุณตุ๊กตา ให้อารมณ์กุ๊กกิ๊ก น่ารัก แถมภาพประกอบคิขุ เหมาะกับสาว kawaii ^_^

เบนโตะ ซูโม่ โตเกียว แปลและเรียบเรียงโดยคุณลินดา โกมลารชุน จาก blog ของ Mari Kanazawa สาวโตเกียวขนาดแท้ อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาน่าชิม ตั้งแต่โอเบนโต ไปถึงเดปาจิกะ ซึ่งล้วนแต่น่าตามไปชมและชิมจริงๆ แถมด้วยร้านอาหารแบบ theme restaurant

ฮอกไกโด…ในวันที่หิมะละลาย ผลงานของคุณพลอย มัลลิกะมาสที่อ่านได้เพลินๆ คุณพลอยพาเที่ยวเกาะฮอกไกโดในบรรยากาศสบายๆ ในวันที่อากาศดี ดอกไม้บาน อ่านแล้วราวกับได้กลิ่นหอมของดอกลาเวนเดอร์จากฟาร์มโทมิตะลอยมาเลยค่ะ เชื่อว่าหลายคนอ่านแล้วคงอยากจะแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวฮอกไกโดกันเลยทีเดียว

นอกจากหนังสือที่กล่าวถึงไปข้างบนนี้ ยังมีหนังสือดีๆ อ่านสนุกเกี่ยวกับเจแปนแดนปลาดิบนี้อีกเยอะเชียวค่ะ ต้องขอบคุณเหล่านักเขียนทั้งหลาย ที่พากันระดมสมอง กรองความคิด เขียนหนังสือสนุกๆ มาให้เราได้อ่านกันเพลินๆ และเป็นแรงบันดาลใจให้ออกเดินทาง

ずっと一緒さ ด้วยกันตลอดไป

ไม่รู้จะมีหลายคนที่มีนิสัยเหมือนฉันรึเปล่า ประเภทที่ว่าช่วงไหนฮิตอะไร ชอบอะไร สนใจอะไร ก็จะจดจ่อกับสิ่งนั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง อย่างช่วงไหนชอบฟังเพลงของใครก็จะฟังแล้วฟังเล่าเฝ้าแต่ฟัง ถ้าเป็นเทปเพลงเหมือนเมื่อก่อนก็คงเทปยานกันไปรู้แล้วรู้รอด

ในตอนนี้ ฉันมีเพลงที่ฟังได้ไม่รู้เบื่อ อย่างเพลง Zutto Issho sa ของคุณ Tatsuro Yamashita ซึ่งได้ฟังครั้งแรกจากซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่อง Bara no nai Hanaya หรือร้านดอกไม้ที่ไม่มีกุหลาบ (แปลตรงๆ ตัวเลยนะเนี่ย) ตอนแรกได้ฟังก็นึกว่าเพลงอะไร๊คนร้องร้องซะเสียงสูง บวกลูกคอ ยังกับเพลงลูกทุ่งโบราณ แต่ฟังไปฟังมาชักชอบ

แถมพอได้เห็นเนื้อเพลง (ซึ่งแปลแล้ว) ก็ยิ่งอินกันเข้าไปใหญ่ ก็เนื้อเพลงเค้าออกจะอบอุ่นและโรแมนติกเสียจริงๆ อากาศเย็นๆ แบบนี้หาเพลงเพราะๆ มาฟังเพิ่มความอบอุ่น แค่นี้ก็มีความสุขง่ายๆ ได้แล้วค่ะ

ว่าแล้วขอกลับไปกด reply เพลงนี้อีกสักรอบ

issho-sa ปลายหนาวปีที่แล้ว ณ หมู่บ้านชิราคาวะ

抱きしめて
しじまの中で
あなたの声を聞かせて

こびりつく
涙を融かして
冬はもうすぐ终れるよ

いくつもの悲しみを
くぐり抜けたそのあとで
つたいだ手の温かさが
全てを知っている

あなたとふたりで
生きて生きたい
それだけて何もいらない
昼も夜も 夢の中まで
ずっとずっと一绪さ

傷付いた
心のかけらを
ひとつ残らずひろって

愛いとう
不思議なジグソ
つなぐ欠片(ビース)を探すよ

本当の強さは
「ひとりじゃない」って言えること

風の中で寄り添う
花のように
秘めやかに

あんたとふたりで
生きて行けたら
何度でも生まれ変われる
たどり着いた 僕らの場所で
ずっとずっと一绪さ

あなたとふたりで
生きて生きたい
それだけて何もいらない
時の海に 未来を浮かべ
ずっと ずっと
ずっと一绪さ
ずっとずっと一绪さ
ずっと一绪さ…

Perishable Beauty งามนี้ไม่จีรัง

perishable

หลังจากรู้ข่าวว่า TCDC มีนิทรรศการหมุนเวียนรายการใหม่ ฉันก็จัดแจงหาเวลาไปชมเหมือนกับทุกครั้ง จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ชื่อของ TCDC การันตีคุณภาพว่างานนิทรรศการนั้นน่าดูน่าชม

คราวนี้ TCDC นำเสนอเรื่องราวของความตายได้อย่างน่าสนใจ

เมื่อพูดถึงคำว่าตายหรือ perish เรามักจะรู้สึกหดหู่ แต่ความตายก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสวยงามเช่นกันก็เป็นสิ่งไม่จีรัง สมดังชื่อนิทรรศการครั้งนี้ว่า Perishable Beauty

ครั้นลองมามองที่ชื่อภาษาไทย (ซึ่งแปลไม่ตรงกับชื่อภาษาอังกฤษนัก) ว่าอจีรัง คือ โอกาส มุมมองต่อความเสื่อมสลาย ไม่แน่นอนของชีวิตก็เปลี่ยนไป

แล้วอะไรเล่า คือ โอกาสจากความตาย

นิทรรศการเล็กๆ ที่น่าสนใจนี้นำผู้ชมไปพบกับมุมมองใหม่ๆ ทั้งแสดงถึงสิ่งไม่จีรังยั่งยืน สังขารที่ไม่เที่ยง แต่มนุษย์ก็พยายามอย่างเหลือหลายที่จะฉุดรั้งสิ่งไม่เที่ยงนี้ไว้

ความพยายามอย่างมากนี้แหละ นำมาสู่โอกาสทางธุรกิจ

ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรมความงาม ที่ยื้อ ยุด ฉุด ดึง สิ่งที่กำลังจะหย่อนคล้อยให้กลับเต่งตึงเหมือนเดิม

สิ่งที่เน่าเสียน่ารังเกียจอาจเป็นโอกาสในการศึกษาวิจัยและหาวิธีทำเงิน

ความรู้สึกไม่อยากจากพรากจากสิ่งที่รักนำไปสู่การโคลนนิ่งสัตว์แสนรัก

ความเสื่อม ความเก่าแก่อาจเป็นหนทางสร้างรายได้โดยดึงดูดผู้ที่ถวิลหาวันเวลาเก่าๆ

ความตาย สลาย และเสื่อมจึงไม่ได้มีแต่แง่ลบ อยู่ที่การมองและเห็นโอกาสจากมัน ในเมื่อเราไม่สามารถควบคุมความเป็นไปของโลกได้ ทำไมเราจะไม่มองหาสิ่งดีๆ จากความเปลี่ยนแปลง

จบจากนิทรรศการ ก็มีสมุดเยี่ยมชมให้ลงความเห็น (ได้อารมณ์เหมือนสมุด friendship เล็กน้อย) ฉันจรดดินสอ ลงเขียนความเห็นสั้นๆ ว่า “Death is so much alive here”

นิทรรศการ Perishable Beauty

จัดแสดงระหว่าง 28 November 2008 – 22 February 2009 | 10:30-21:00 (ปิดวันจันทร์)

สถานที่ Gallery 2, TCDC  ชั้น 6 The Emporium สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์

เรื่องเล่าจากเมืองลาว ตอนที่ 2

img_3826

เริ่มต้นวันใหม่กันด้วยอาหารเช้าค่ะ ตามปกติอาหารเช้าที่วิลล่าสันติจะเสิร์ฟในห้อง Princess ซึ่งอยู่บริเวณชั้นสอง ให้เราได้ทานอาหารไปชมชีวิตในยามเช้าบนท้องถนนของเมืองหลวงพระบางไป แต่เนื่องจากห้องอาหารอยู่ในระหว่างการปรับปรุง ทางโรงแรมก็เลยจัดอาหารเช้าแบบ a la carte ที่บริเวณสวนหน้าโรงแรมแทน

อาหารเช้ามีให้เลือก อย่างในรูปก็เป็น american breakfast ซึ่งจะมีเสิร์ฟขนมปังฝรั่งเศส (baguette) ให้ด้วย ขนมปังฝรั่งเศสเป็นอาหารเช้าที่พบเห็นได้ทั่วไป เนื่องจากอิทธิพลจากฝรั่งเศสเมื่อครั้งที่มายึดเอาลาวเป็นอาณานิคม

โปรแกรมท่องเที่ยวของเราในช่วงเช้าวันนี้ เป็นการล่องแม่น้ำโขง เพื่อเดินทางไปยังถ้ำติ่ง และแวะที่หมู่บ้านซ่างไห

เรือล่องแม่น้ำโขงเป็นเรือลำยาวติดเครื่องยนต์ มีที่นั่งเป็นเบาะรถยนต์ นั่งสบายดีอยู่ การเดินทางจากท่าเรือเมืองหลวงพระบางไปยังถ้ำติ่งใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง เพราะเรือแล่นทวนน้ำ ส่วนขากลับจะใช้เวลาสั้นลง เหลือระยะเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

นั่งเรือแบบนี้ลมเย็นพัดสบาย แต่นั่งนานๆ ไปชักเริ่มหนาว หน้าชาเพราะต้านลม วิวริมสองฝั่งแม่น้ำเป็นวิวแบบชนบท มีการปลูกผักบ้าง จับปลาบ้าง เด็กๆ วิ่งเล่น บ้างก็กระโดดน้ำ ดูน่าสนุก เป็นเด็กก็ดีอย่างนี้นี่เอง อากาศจะเย็นยังไงก็ไม่ต้องกลัว เรียกว่าสนุกจนลืมหนาว

img_3829ท่าเรือ

 นั่งเรือรับลมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ได้เวลาลงยืดแข้งยืดขา และช้อปปิ้งกันที่หมู่บ้านซ่างไห่ (ภาษาไทยน่าจะเรียกว่าหมู่บ้านช่างปั้นไห อะไรทำนองนี้) ที่ได้ชื่อว่าซ่างไห่ เพราะแต่ก่อนที่นี่เป็นหมู่บ้านปั้นหม้อปั้นไห (ไม่ขนาดในเรื่อง Ghost นะจ๊ะ) แต่ปัจจุบันหันมาทำอาชีพต้มเหล้าใส่ไหกันมากกว่า ทำกันแบบบ้านๆ เหล้าของที่นี่ดีกรีสูงมากๆ ใครคอแข็งอาจจะลองชิมกันได้ แต่สำหรับฉันขอบายค่ะ

โรงกลั่น

โรงกลั่น บ้านซ่างไห่

นอกจากกิจการต้มเหล้าขายแล้ว คนที่นี่ก็ทอผ้า เป็นสินค้า OTOP ของลาว ขายให้นักท่องเที่ยวที่แวะเข้ามาชมหมู่บ้าน ก่อนขึ้นเรือเดินทางต่อไปถ้ำติ่ง เราซื้อข้าวเกรียบมันสำปะหลังที่ปิ้งใหม่ๆ ริมแม่น้ำโขงไปกินกันเพลินๆ บนเรือ

crisp

ปิ้งข้าวเกรียบ

และแล้วเรือของเราก็มาถึงถ้ำติ่ง มีเรือนักท่องเที่ยวหลายลำจอดเทียบท่าอยู่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนไทยค่ะ คณะเราก็จัดแจงเอาธูป เทียน ดอกไม้ ที่เตรียมจากเมืองไทยออกมาไหว้พระ ถ้ำติ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนคือถ้ำบนและถ้ำล่าง แต่เราไหว้พระกันที่ถ้ำล่าง ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปหลากหลายขนาด ทั้งที่เก่าและใหม่ บ้างทำจากไม้ บ้างเป็นโลหะ มีพระพุทธรูปอยู่เยอะจริงๆ ไกด์บอกว่าถ้ำติ่งนี้เป็นเหมือนถ้ำสะเดาะห์เคราะห์ พอคนที่มีขอพรแล้วได้สมใจก็จะเอาพระพุทธรูปมาถวาย แต่ด้วยความที่ถ้ำติ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกด้วย พระที่ถูกนำมาถวายใหม่ก็จะถูกซ่อนเอาไว้ ไม่ให้มีของใหม่โดดขึ้นมา ไม่เข้ากับบรรดาพระแกะสลักจากไม้เก่าๆ ว่ากันว่าการขอพรจากถ้ำติ่งนี้ ไม่นิยมขอในเรื่องความรัก

จากถ้ำติ่งเรานั่งเรือกลับสู่หลวงพระบาง เพื่อไปขึ้นรถไปเที่ยวกันต่อค่ะ โปรแกรมบ่ายนี้คือน้ำตกตาดกวงสี ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากหลวงพระบางไปไม่นานนัก

น้ำตกตาดกวงสีมีหลายชั้น มีแอ่งน้ำสำหรับเล่นน้ำอยู่หลายจุด และเป็นน้ำตกที่สวยงามมาก ด้วยความที่สีของน้ำเป็นสีฟ้าเขียว และบรรยากาศบริเวณน้ำตกก็สวยงาม สะอาดและร่มรื่น เดินเล่นเพลินๆ ได้สบาย แถมทางขึ้นก็ไม่ชัน เดินไปจนสุดทางก็จะเห็นตัวน้ำตก ตกจากผาสูง เป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ แนะนำว่าใครมาเที่ยวหลวงพระบางแล้วไม่ควรพลาดน้ำตกนี้

เสร็จจากเที่ยวน้ำตก เรานั่งรถกลับเข้าเมืองหลวงพระบาง มีเวลาให้ได้เดินเล่นในเมืองแลพักผ่อน ส่วนฉันได้โอกาสไปเช่าจักรยานมาขี่เที่ยวชมเมือง แถมแวะนั่งจิบชามะนาวมองดูผู้คนเดินผ่านไปมาในเมือง

ร้านกาแฟที่นี่ดูดีคลาสสิกอย่าบอกใคร เพราะตั้งอยู่ในอาคารโบราณ ตกแต่งแบบตะวันตกผสมตะวันออก เปิดไฟสลัวๆ นวลตา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่รีบร้อน แนะนำให้นั่งที่โต๊ะด้านนอกร้าน จะได้รับลมเย็นๆ กับมองดูความเป็นไปของเมือง slow pace ให้เต็มที่ คนกรุงเทพฯ อย่างฉันแอบอิจฉา “ความช้า” ของที่นี่ แต่ก็อดคิดถึงความเร็วแบบเมืองใหญ่ไม่ได้

เย็นวันนี้เราไปกินอาหารค่ำกันที่ร้าน Le Papillon ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารโบราณเช่นกัน เราได้นั่งบริเวณระเบียงหน้าร้าน ซึ่งบรรยากาศดี แต่ยุงเยอะไปหน่อย ร้านนี้ขายทั้งอาหารสไตล์ยุโรปและอาหารพื้นเมือง รายการอาหารของเราเป็นอาหารพื้นเมือง กับข้าวคล้ายกับทุกๆ มื้อที่ผ่านมาค่ะ

กิจกรรมยามกลางคืนก็คือออกมาเดินเที่ยวตลาดมืดเช่นเคย ได้แวะร้านหนึ่งที่ขายหนังสือสำหรับเด็กเป็นภาษาลาว โดยเราสามารถซื้อแล้วฝากเค้าไปบริจาคให้แก่เด็กๆ ได้ เด็กๆ ลาวจะได้มีหนังสือสนุกๆ สีสันสดใสอ่านไงคะ เป็นการทำบุญไปในตัวด้วย ก่อนกลับที่พักก็แวะซื้อโรตี ซึ่งลุงแกทำช้ามากๆ ตามแบบฉบับ slow food slow life ของแท้ :-)

 

 

เรื่องเล่าจากเมืองลาว ตอนที่ 1

หลังจากวางแผนไปเที่ยวเมืองหลวงพระบางอยู่หลายครั้ง แผนล่มไปก็หลายคราว แต่จนแล้วจนรอดเราก็พากันไปเที่ยวม่วนซื่นที่เมืองมรดกโลกเมืองนี้จนได้

การเดินทางแบบสบายๆ เริ่มต้นขึ้นด้วยการจองแพคเกจแบบ 3 วัน 2 คืน กับสายการบิน Bangkok Airways เป็นแพคเกจชื่อว่า ม่วนซื่น หลวงพระบาง ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งหมดไว้ในราคา Package แล้ว และมีไกด์ท้องถิ่นคอยบริการตลอดระยะเวลา 3 วัน ราคาแพคเกจแตกต่างตามโรงแรมที่เราเลือก เริ่มต้นที่ประมาณ หนึ่งหมื่นกว่าบาท (ปลายๆ) จนถึงสองหมื่นต้นๆ และราคาขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เดินทาง เริ่มต้นตั้งแต่เดินทาง 2 คนขึ้นไป

ข้อดีของแพคเกจคือเดินทางเป็นกรุ๊ปส่วนตัว ไม่ต้องไปรวมกับใคร เหมาะกับการไปกับครอบครัว ที่อยากท่องเที่ยวสบายๆ อยากใช้เวลาที่ไหนนานหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา แถมยังมีไกด์คอยดูแลได้อย่างทั่วถึง

เกริ่น (แถมโฆษณามาเสียยาว) อย่ากระนั้นเลย มาเริ่มออกเดินทางกันดีกว่าค่ะ

หลวงพระบางอยู่เหนือเวียงจันทน์ขึ้นไป การเดินทางโดยเครื่องบินก็ทำได้อย่างสะดวก โดยมี flight ทั้งของ Bangkok Airways และ Lao Airlines ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยความที่สนามบินหลวงพระบางมีขนาดเล็ก จึงไม่สามารถรองรับเครื่อง Boeing ได้ เราจึงเดินทางกันด้วยเครื่องแบบใบพัด ขนาด 70 ที่นั่ง แบบ ATR 72 – 200/500 หลายคนพูดว่าเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเครื่องบินเล็กๆ แบบนี้ ส่วนตัวฉันเองไม่รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเคยนั่งเครื่องบินเล็กแบบ 30 กว่าที่นั่งมาแล้วเมื่อครั้งบินจาก Phokara เข้ามาที่ Kathmandu

แม้จะใช้เวลาบินแค่เพียงประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที แอร์โฮสเตสยังเอาอาหารร้อนมาเสิรฟให้อีกด้วย

เมื่อเครื่องบินเริ่มลดระดับลง เราก็มองเห็นสีเขียวที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ มีเส้นสีน้ำตาลเป็นแนวตัดผ่านพรมผืนป่าสีเขียว เส้นสีน้ำตาลนี้ก็คือแม่น้ำนั่นเอง หลวงพระบางอยู่ริมแม่น้ำสองสาย คือ น้ำโขงและน้ำคาน หลังคาบ้านมีให้เห็นเป็นหย่อมๆ ไม่หนาแน่น มองไปก็จะเห็นหลังคาส่วนใหญ่เป็นสีแดง มองเห็นวัดวาอารามกระจายตัวอยู่ทั่วไป

สนามบินเมืองหลวงพระบางเป็นสนามบินขนาดเล็ก มีรันเวย์เพียงทางเดียว ความวุ่นวายจึงต่างกันลิบลับกับสนามบินสุวรรณภูมิที่เราเพิ่งจะจากมา นักท่องเที่ยวทั้งหลายทะยอยกันเดินลงจะเครื่องบิน หลายคนก็เริ่มปฏิบัติการถ่ายรูปกันตั้งแต่ลงจากเครื่องบินกันเลย อากาศเย็นสบายๆ สดชื่นเหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงหน้าหนาว

คุณบุญโฮมไกด์สาวชาวเวียงจันทน์ของเรามายืนถือป้ายคอยรับเราเข้าเมือง โดยมีรถตู้นั่งสบายๆ มารับตรงไปยังโรงแรมวิลล่าสันติ อดีตวังเก่าของเจ้าหญิงลาวที่เราเลือกเอาไว้เมื่อครั้งจองแพคเกจ

สนามบินหลวงพระบางอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเลยค่ะ ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีก็ถึงตัวเมืองแล้ว ระหว่างทางเราก็ผ่านบ้านเรือนของหลวงพระบางที่ดูสงบน่ารัก ช่างเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบจริงๆ

ไปถึงโรงแรมปุ๊บก็เกิดอาการงงเล็กน้อย พนักงานโรงแรมของที่นี่แต่งตัวกันตามสบายเลยค่ะ แม้โรงแรมของเราจะเป็น “โรงแรม 5 ดาว” ของหลวงพระบาง พนักงานเค้าก็ดูสบายๆ นั่งตั้งวงกินข้าวเหนียวกันที่สวนหน้าโรงแรม เราก็นึกว่าเป็น Staff Party ซะอีก หลังจากเก็บข้าวของและสำรวจห้องพักกันเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปหาอาหารกลางวันกันค่ะ

กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด คณะเราก็ต้องเริ่มด้วยการกินฉันนั้น ว่าแล้วพวกเราจึงบอกน้องโฮมมี่ (บุญโฮม) ให้พาเราไปเริ่มมื้อแรกกันที่ร้านเฝอค่ะ ก๋วยเตี๋ยวแบบเวียตนามนี้มีจุดเด่นตรงที่น้ำซุปรสกลมกล่อม ใส่เส้นเล็ก เนื้อหมู หมูกรอบ แกล้มด้วยผักสดและเครื่องปรุงนานาชนิด ทั้งน้ำปลา ซีอิ๊ว น้ำส้มพริกดอง ซอสพริก ฯลฯ ให้ได้เลือกปรุงแต่งกันตามใจ เสร็จสรรพคิดเงินออกมาแทบหงายหลัง อาหารมื้อนี้ราคากว่าแสนกีบ (คิดเป็นเงินไทยราว 700 บาท) ของกินที่นี่แพงเหมือนกันนะเนี่ย

noodle

เฝอหมู

น้องบุญโฮมเธอว่าคนลาวกินก็ราคานี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนลาวไม่นิยมออกมากินอาหารนอกบ้านเหมือนคนไทย เพราะอาหารราคาแพง ส่วนใหญ่ก็ปลูกผักจับปลา หาอาหารกินกันที่บ้านนั้นแล

อิ่มท้องแล้วก็ถึงเวลาไปอิ่มใจกันค่ะ เราเริ่มทัวร์วัดกันที่วัด Visoun ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุหมากโม (แตงโม) โดยองค์พระธาตุมีรูปทรงเหมือนแตงโมผ่าซีกคว่ำอยู่ วัดวิชุนนี้ถือเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของเมืองหลวงพระบาง โดยสร้างขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 1513 วัดวิชุนนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบาง พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของชาวหลวงพระบาง (ปัจจุบันพระบางประดิษฐานอยู่ที่พิพิทธภัณฑ์พระราชวังหลวง) วัดวิชุนนี้เคยใช้เป็นพิพิทธภัณฑ์เก็บพระพุทธรูปโบราณ ภายในสิม (อุโบสถ) จึงมีพระพุทธรูปเก่าแก่เป็นจำนวนมาก หลายองค์อยู่ในสภาพที่เสียหายไปตามกาลเวลา พระพุทธรูปส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้แกะสลักจึงไม่คงทนนัก

watermelon

พระธาตุหมากโม

ด้วยความที่เป็นเมืองมรดกโลก การที่จะบูรณะปฏิสังขรสิ่งใดจึงไม่สามารถทำได้ง่าย ต้องได้รับความเห็นชอบจาก UNESCO เสียก่อน การบูรณะซ่อมแซมที่ทำก็จะต้องให้สถานที่หรือสิ่งของนั้นๆ คงสภาพเดิม คือดูเก่าๆ กลมกลืน ไม่ใช่ว่าใหม่แกะกล่องออกมา

โฮมมี่เล่าว่าวัดวาอาคารทั้งหลายที่เป็นของเก่าแก่ดังเดิมนั้นสร้างตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน โดยการนำหนังควายมาผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น รากไม้ แล้วนำมาฉาบลงเหมือนปูน แม้แต่องค์พระภายในสิมของวัดวิชุนก็ฉาบด้วยหนังควายเช่นเดียวกัน

สิม วัดเชียงทภ??

“สิม” วัดเชียงทอง

ออกจากวัดวิชุน เราก็ตรงไปที่วัดเชียงทอง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองอีกวัดหนึ่งของหลวงพระบาง วัดเชียงทองนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยพระเจ้าเชษฐาธิราช สิมของวัดเชียงทองนี้มีรูปแบบคล้ายกับอุโบสถในวัดทางภาคเหนือของไทย เห็นแล้วชวนให้นึกถึงวัดพระสิงห์ที่เชียงใหม่

viharn

ลายโมเสคสีสันสดใส บนผนังปูนสีชมพู

จุดเด่นอย่างหนึ่งของวัดเชียงทองคือการนำกระเบื้องโมเสค และกระจกมาตกแต่งเป็นลวดลาย ทั้งที่บอกเล่าวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง ตำนานเรื่องเล่าต่างๆ จนกระทั่งเรื่องราวตามจินตนาการของศิลปิน

เรื่ภ??ราว

เรื่องเล่า เรื่องราว

ในบริเวณวัดเชียงทองยังเป็นที่ตั้งของโรงเก็บราชรถโบราณของเจ้ามหาชีวิตชาวลาว ราชรถนี้ใช้ในพิธีศพของเจ้ามหาชีวิต ปัจจุบันไม่มีการใช้งานแล้ว ภายในโรงราชรถ ยังมีพระพุทธรูปเก่าแก่ รวมไปถึงภาพโมเสคประดับประดาเอาไว้ด้วย

ราชรถ

ราชรถในโรงเก็บ

ก่อนพระอาทิตย์จะลับฟ้าในวันนี้ เรามาทดสอบกำลังขาด้วยการขึ้นไปนมัสการพระธาตุบนพูสี (Phousi) การขึ้นสู่ยอดพูสีนั้น ไม่มีรถรางหรือกระเช้าพาขึ้นไป เพราะฉะนั้นผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายต้องอาศัยกำลังขาของตนเองเท่านั้นค่ะ บันไดขึ้นไปไม่ลำบากแต่ก็หลายขั้นเอาการอยู่ กว่าจะเดินถึงยอดก็ต้องขึ้นบันไดไปกว่า 300 ขั้น

นกน้ภ??

นกน้อย รอคอยคนมาปล่อย

ถึงแม้จะเหนื่อยกับการเดินขึ้น แต่อากาศดีๆ ก็ช่วยชีวิตไว้ได้ไม่น้อย เดินไปพักไปไม่รีบร้อน แถมวิวบนพูสีนี่สวยจับใจทีเดียวค่ะ ได้เห็นภาพมุมกว้างของเมืองหลวงพระบางที่แสนเงียบสงบ แม่น้ำโขง แม่น้ำคาน วัดวาอารามต่างๆ สวยจริงๆ

img_3781

วิวแม่น้ำคานจากยอดพูสี

lpn

ถนนในเมือง

เราเดินเวียนเทียนรอบพระธาตุเสร็จก็ชมวิวกันต่อ สักพักก็เดินกลับลงมา เตรียมตัวช้อปกันที่ตลาดมืด

img_3772

 mum & me เหนื่อยแต่ก็ยังยิ้มออก

จบวันแรกในหลวงพระบางด้วยการช้อปสินค้าพื้นเมืองที่ตลาดมืด (ตลาดค่ำ) สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์จากผ้า ทั้งผ้าซิ่น ผ้าคลุมเตียง รองเท้าแตะ เสื้อยืดพิมพ์ภาษาลาว (ราคาตัวละ 70 บาท) และอื่นๆ สินค้าคล้ายๆ ตลาดไนท์บาซาร์ที่เชียงใหม่แต่ไม่หลากหลายเท่า

rotation-of-img_3805

มุมหนึ่งของตลาดมืด