หลังจากวางแผนไปเที่ยวเมืองหลวงพระบางอยู่หลายครั้ง แผนล่มไปก็หลายคราว แต่จนแล้วจนรอดเราก็พากันไปเที่ยวม่วนซื่นที่เมืองมรดกโลกเมืองนี้จนได้
การเดินทางแบบสบายๆ เริ่มต้นขึ้นด้วยการจองแพคเกจแบบ 3 วัน 2 คืน กับสายการบิน Bangkok Airways เป็นแพคเกจชื่อว่า ม่วนซื่น หลวงพระบาง ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งหมดไว้ในราคา Package แล้ว และมีไกด์ท้องถิ่นคอยบริการตลอดระยะเวลา 3 วัน ราคาแพคเกจแตกต่างตามโรงแรมที่เราเลือก เริ่มต้นที่ประมาณ หนึ่งหมื่นกว่าบาท (ปลายๆ) จนถึงสองหมื่นต้นๆ และราคาขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เดินทาง เริ่มต้นตั้งแต่เดินทาง 2 คนขึ้นไป
ข้อดีของแพคเกจคือเดินทางเป็นกรุ๊ปส่วนตัว ไม่ต้องไปรวมกับใคร เหมาะกับการไปกับครอบครัว ที่อยากท่องเที่ยวสบายๆ อยากใช้เวลาที่ไหนนานหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา แถมยังมีไกด์คอยดูแลได้อย่างทั่วถึง
เกริ่น (แถมโฆษณามาเสียยาว) อย่ากระนั้นเลย มาเริ่มออกเดินทางกันดีกว่าค่ะ
หลวงพระบางอยู่เหนือเวียงจันทน์ขึ้นไป การเดินทางโดยเครื่องบินก็ทำได้อย่างสะดวก โดยมี flight ทั้งของ Bangkok Airways และ Lao Airlines ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยความที่สนามบินหลวงพระบางมีขนาดเล็ก จึงไม่สามารถรองรับเครื่อง Boeing ได้ เราจึงเดินทางกันด้วยเครื่องแบบใบพัด ขนาด 70 ที่นั่ง แบบ ATR 72 – 200/500 หลายคนพูดว่าเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งเครื่องบินเล็กๆ แบบนี้ ส่วนตัวฉันเองไม่รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ เพราะเคยนั่งเครื่องบินเล็กแบบ 30 กว่าที่นั่งมาแล้วเมื่อครั้งบินจาก Phokara เข้ามาที่ Kathmandu
แม้จะใช้เวลาบินแค่เพียงประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที แอร์โฮสเตสยังเอาอาหารร้อนมาเสิรฟให้อีกด้วย
เมื่อเครื่องบินเริ่มลดระดับลง เราก็มองเห็นสีเขียวที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ มีเส้นสีน้ำตาลเป็นแนวตัดผ่านพรมผืนป่าสีเขียว เส้นสีน้ำตาลนี้ก็คือแม่น้ำนั่นเอง หลวงพระบางอยู่ริมแม่น้ำสองสาย คือ น้ำโขงและน้ำคาน หลังคาบ้านมีให้เห็นเป็นหย่อมๆ ไม่หนาแน่น มองไปก็จะเห็นหลังคาส่วนใหญ่เป็นสีแดง มองเห็นวัดวาอารามกระจายตัวอยู่ทั่วไป
สนามบินเมืองหลวงพระบางเป็นสนามบินขนาดเล็ก มีรันเวย์เพียงทางเดียว ความวุ่นวายจึงต่างกันลิบลับกับสนามบินสุวรรณภูมิที่เราเพิ่งจะจากมา นักท่องเที่ยวทั้งหลายทะยอยกันเดินลงจะเครื่องบิน หลายคนก็เริ่มปฏิบัติการถ่ายรูปกันตั้งแต่ลงจากเครื่องบินกันเลย อากาศเย็นสบายๆ สดชื่นเหมือนไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงหน้าหนาว
คุณบุญโฮมไกด์สาวชาวเวียงจันทน์ของเรามายืนถือป้ายคอยรับเราเข้าเมือง โดยมีรถตู้นั่งสบายๆ มารับตรงไปยังโรงแรมวิลล่าสันติ อดีตวังเก่าของเจ้าหญิงลาวที่เราเลือกเอาไว้เมื่อครั้งจองแพคเกจ
สนามบินหลวงพระบางอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเลยค่ะ ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีก็ถึงตัวเมืองแล้ว ระหว่างทางเราก็ผ่านบ้านเรือนของหลวงพระบางที่ดูสงบน่ารัก ช่างเป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบจริงๆ
ไปถึงโรงแรมปุ๊บก็เกิดอาการงงเล็กน้อย พนักงานโรงแรมของที่นี่แต่งตัวกันตามสบายเลยค่ะ แม้โรงแรมของเราจะเป็น “โรงแรม 5 ดาว” ของหลวงพระบาง พนักงานเค้าก็ดูสบายๆ นั่งตั้งวงกินข้าวเหนียวกันที่สวนหน้าโรงแรม เราก็นึกว่าเป็น Staff Party ซะอีก หลังจากเก็บข้าวของและสำรวจห้องพักกันเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปหาอาหารกลางวันกันค่ะ
กองทัพต้องเดินด้วยท้องฉันใด คณะเราก็ต้องเริ่มด้วยการกินฉันนั้น ว่าแล้วพวกเราจึงบอกน้องโฮมมี่ (บุญโฮม) ให้พาเราไปเริ่มมื้อแรกกันที่ร้านเฝอค่ะ ก๋วยเตี๋ยวแบบเวียตนามนี้มีจุดเด่นตรงที่น้ำซุปรสกลมกล่อม ใส่เส้นเล็ก เนื้อหมู หมูกรอบ แกล้มด้วยผักสดและเครื่องปรุงนานาชนิด ทั้งน้ำปลา ซีอิ๊ว น้ำส้มพริกดอง ซอสพริก ฯลฯ ให้ได้เลือกปรุงแต่งกันตามใจ เสร็จสรรพคิดเงินออกมาแทบหงายหลัง อาหารมื้อนี้ราคากว่าแสนกีบ (คิดเป็นเงินไทยราว 700 บาท) ของกินที่นี่แพงเหมือนกันนะเนี่ย
เฝอหมู
น้องบุญโฮมเธอว่าคนลาวกินก็ราคานี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนลาวไม่นิยมออกมากินอาหารนอกบ้านเหมือนคนไทย เพราะอาหารราคาแพง ส่วนใหญ่ก็ปลูกผักจับปลา หาอาหารกินกันที่บ้านนั้นแล
อิ่มท้องแล้วก็ถึงเวลาไปอิ่มใจกันค่ะ เราเริ่มทัวร์วัดกันที่วัด Visoun ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระธาตุหมากโม (แตงโม) โดยองค์พระธาตุมีรูปทรงเหมือนแตงโมผ่าซีกคว่ำอยู่ วัดวิชุนนี้ถือเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของเมืองหลวงพระบาง โดยสร้างขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 1513 วัดวิชุนนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบาง พระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของชาวหลวงพระบาง (ปัจจุบันพระบางประดิษฐานอยู่ที่พิพิทธภัณฑ์พระราชวังหลวง) วัดวิชุนนี้เคยใช้เป็นพิพิทธภัณฑ์เก็บพระพุทธรูปโบราณ ภายในสิม (อุโบสถ) จึงมีพระพุทธรูปเก่าแก่เป็นจำนวนมาก หลายองค์อยู่ในสภาพที่เสียหายไปตามกาลเวลา พระพุทธรูปส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้แกะสลักจึงไม่คงทนนัก
พระธาตุหมากโม
ด้วยความที่เป็นเมืองมรดกโลก การที่จะบูรณะปฏิสังขรสิ่งใดจึงไม่สามารถทำได้ง่าย ต้องได้รับความเห็นชอบจาก UNESCO เสียก่อน การบูรณะซ่อมแซมที่ทำก็จะต้องให้สถานที่หรือสิ่งของนั้นๆ คงสภาพเดิม คือดูเก่าๆ กลมกลืน ไม่ใช่ว่าใหม่แกะกล่องออกมา
โฮมมี่เล่าว่าวัดวาอาคารทั้งหลายที่เป็นของเก่าแก่ดังเดิมนั้นสร้างตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน โดยการนำหนังควายมาผสมกับส่วนประกอบอื่นๆ เช่น รากไม้ แล้วนำมาฉาบลงเหมือนปูน แม้แต่องค์พระภายในสิมของวัดวิชุนก็ฉาบด้วยหนังควายเช่นเดียวกัน
“สิม” วัดเชียงทอง
ออกจากวัดวิชุน เราก็ตรงไปที่วัดเชียงทอง วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองอีกวัดหนึ่งของหลวงพระบาง วัดเชียงทองนี้สร้างขึ้นเมื่อสมัยพระเจ้าเชษฐาธิราช สิมของวัดเชียงทองนี้มีรูปแบบคล้ายกับอุโบสถในวัดทางภาคเหนือของไทย เห็นแล้วชวนให้นึกถึงวัดพระสิงห์ที่เชียงใหม่
ลายโมเสคสีสันสดใส บนผนังปูนสีชมพู
จุดเด่นอย่างหนึ่งของวัดเชียงทองคือการนำกระเบื้องโมเสค และกระจกมาตกแต่งเป็นลวดลาย ทั้งที่บอกเล่าวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบาง ตำนานเรื่องเล่าต่างๆ จนกระทั่งเรื่องราวตามจินตนาการของศิลปิน
เรื่องเล่า เรื่องราว
ในบริเวณวัดเชียงทองยังเป็นที่ตั้งของโรงเก็บราชรถโบราณของเจ้ามหาชีวิตชาวลาว ราชรถนี้ใช้ในพิธีศพของเจ้ามหาชีวิต ปัจจุบันไม่มีการใช้งานแล้ว ภายในโรงราชรถ ยังมีพระพุทธรูปเก่าแก่ รวมไปถึงภาพโมเสคประดับประดาเอาไว้ด้วย
ราชรถในโรงเก็บ
ก่อนพระอาทิตย์จะลับฟ้าในวันนี้ เรามาทดสอบกำลังขาด้วยการขึ้นไปนมัสการพระธาตุบนพูสี (Phousi) การขึ้นสู่ยอดพูสีนั้น ไม่มีรถรางหรือกระเช้าพาขึ้นไป เพราะฉะนั้นผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายต้องอาศัยกำลังขาของตนเองเท่านั้นค่ะ บันไดขึ้นไปไม่ลำบากแต่ก็หลายขั้นเอาการอยู่ กว่าจะเดินถึงยอดก็ต้องขึ้นบันไดไปกว่า 300 ขั้น
นกน้อย รอคอยคนมาปล่อย
ถึงแม้จะเหนื่อยกับการเดินขึ้น แต่อากาศดีๆ ก็ช่วยชีวิตไว้ได้ไม่น้อย เดินไปพักไปไม่รีบร้อน แถมวิวบนพูสีนี่สวยจับใจทีเดียวค่ะ ได้เห็นภาพมุมกว้างของเมืองหลวงพระบางที่แสนเงียบสงบ แม่น้ำโขง แม่น้ำคาน วัดวาอารามต่างๆ สวยจริงๆ
วิวแม่น้ำคานจากยอดพูสี
ถนนในเมือง
เราเดินเวียนเทียนรอบพระธาตุเสร็จก็ชมวิวกันต่อ สักพักก็เดินกลับลงมา เตรียมตัวช้อปกันที่ตลาดมืด
mum & me เหนื่อยแต่ก็ยังยิ้มออก
จบวันแรกในหลวงพระบางด้วยการช้อปสินค้าพื้นเมืองที่ตลาดมืด (ตลาดค่ำ) สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์จากผ้า ทั้งผ้าซิ่น ผ้าคลุมเตียง รองเท้าแตะ เสื้อยืดพิมพ์ภาษาลาว (ราคาตัวละ 70 บาท) และอื่นๆ สินค้าคล้ายๆ ตลาดไนท์บาซาร์ที่เชียงใหม่แต่ไม่หลากหลายเท่า
มุมหนึ่งของตลาดมืด