วันกู้โลก

earthday at the met

เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก หลายคนคงฝันอยากเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ช่วยกู้โลกจากภัยร้ายต่างๆ นานา วันนี้ เนื่องในโอกาสวัน Earth Day (เค้าแปลว่า “วันคุ้มครองโลก”) ฉันจึงมีวิธีกู้โลกง่ายๆ มาฝากกัน

  • ใครๆ ก็มีถุงผ้า แต่หลายคนก็ยังไม่ค่อยได้ใช้ เอาแบบนี้สิคะ เอาถุงผ้าใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายเป็นประจำ ไม่ก็วางไว้หน้าบ้าน หรือเอาใส่ไว้ในรถ เวลาออกไปช้อปที่ไหน จะได้พกไปง่ายๆ สะดวกดี 
  • คิดก่อนซื้อ อย่าช้อปเวลาหิว ทางที่ดีควรวางแผนช้อปปิ้ง และทำช้อปปิ้งลิส เพื่อเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย และซื้อของเท่าที่จำเป็น
  • ตรวจดูตู้เย็น/ตู้กับข้าว หมั่นตรวจดูตู้เย็นและตู้กับข้าว ของที่ใกล้หมดอายุควรนำมาใช้ให้หมดก่อน จะได้ไม่เสียของยังไงล่ะ
  • เอาของใช้ส่วนตัวไปเองดีกว่า เวลาไปเที่ยว หลายคนมักชอบเก็บสบู่ แชมพู โลชั่นฟรี กลับบ้าน ขวดเล็กขวดน้อยเหล่านั้น คิดเป็นปริมาณขยะจำนวนมาก ลองพกเอาของที่เราใช้ส่วนตัวที่บ้านไปดีกว่า ใช้ดีแถมเป็นการช่วยประหยัดทรัพยากรและรักษาสิ่งแวดล้อมไปในตัวด้วย
  • ตัดหญ้าแล้วไม่ต้องเก็บเศษไปทิ้ง สำหรับบ้านใครที่มีสนามหญ้าสวยๆ กว้างๆ เวลาตัดหญ้าเสร็จแล้ว ไม่ต้องโกยเศษไปทิ้งค่ะ ปล่อยเอาไว้แบบนั้นให้เป็นปุ๋ยธรรมชาติ ไม่เสียสตางค์แถมทุ่นแรงในการกวาดเศษหญ้าอีกด้วย
  • แบ่งกันอ่าน แทนที่จะซื้อหนังสือที่อยากได้ทุกเล่ม ลองหาเพื่อนที่ชอบหนังสือประเภทเดียวกันมาแบ่งหนังสือกันอ่านดีกว่า

ไอเดียดีๆ มีเยอะแยะสารพัน ลองทำอะไรที่ง่ายๆ กันดูก่อน เพียงเล็กๆ น้อยๆ เราก็มีส่วนช่วยกู้โลกจากวิกฤตได้เหมือนๆ กัน

link เพิ่มเติม:

Green idea เก๋ๆ จากเจ้าแม่งานบ้าน Martha Stewart

Green read อ่านเพลิน เชิญช่วยโลกกับคุณทรงกลด บางยี่ขัน

Green Eat ที่ร้านอโณทัยและไร่ปลูกรัก

Green Hotel ที่พักสบายๆ ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (ดูหมวด Green Leaf Foundation)

หนาวนี้ที่ซัปโปโร บทส่งท้าย

img_6643

แอบขำที่เมืองอันแสนรีบเร่งอย่างโตเกียว กลับมีป้าย “ห้ามรีบ” อยู่ในสถานีรถไฟ

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่ใช่ว่าเราจะจัดงานเลี้ยงขึ้นมาใหม่ไม่ได้ ^_^ เช่นเดียวกันกับทริปญี่ปุ่นของฉันครั้งนี้ การเดินทางหลายร้อยไมล์ในญี่ปุ่น ระหว่าง 2 เกาะ กำลังจะจบลง แต่รับรองว่าจะมีการเดินทางครั้งใหม่อย่างแน่นอน

วันสุดท้ายวุ่นไปกับการเตรียมตัวเดินทางจากอิเขะบุคุโระไปยังสนามบิน คิดกลับไปกลับมาว่าจะนั่งรถไฟหรือไปรถ Airport Limo ดี แต่ด้วยสัมภาระที่พอกพูนขึ้น เราจึงตัดสินใจไป Limo ด้วยความที่ว่าสะดวกกว่า และราคาพอๆ กัน

แต่รถ Airport Limo เนี่ย เธอจอดรับเฉพาะที่โรงแรมหรูๆ ใหญ่ๆ เท่านั้น จึงแน่นอนว่า Toyoko Inn ของเราไม่อยู่ใน list เราแอบเนียนโดยการโทรไปจองรถให้มารับที่ Crowne Plaza แทน เพราะเป็นจุดที่ใกล้โรงแรมเรามากที่สุด (ใช้เวลาเดินไปประมาณ 10 นาที)

ถึงจะใกล้ แต่เพื่อความไม่ประมาท เราจึงเดินไปสำรวจทางก่อนครั้งหนึ่งในตอนเช้า และขอสั่งลาโตเกียวและย่านอิเขะบุคุโระด้วยการช้อปปิดท้าย

แน่นอนว่า แม้จะพักอยู่แถวนี้มา 3 คืน แต่เราก็ยังเดินหลงทางกันอีกจนได้ เช้านี้ตั้งใจจะไปโตคิวฮันส์ Tokyu Hands ห้างขายของสารพันซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็น “creative life store” 

ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานานแต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีโอกาสแวะไปที่นี่ ดังนั้นคราวนี้ก่อนบอกลาโตเกียว จึงขอไปยลโตคิวฮันส์สักครั้ง

ระหว่างทางไปเราผ่านทั้งห้าง Seibu และ Tobu สองห้างยักษ์ใหญ่ในย่านอิเคะบุคุโระ ผ่านดงช้อปปิ้ง ร้านค้าแถบนี้แม้จะหน้าตาค่อนไปทางบ้านๆ ไม่หรูหราอย่างแถวกินซ่าหรือโอโมะเตะซันโด แต่ก็เดินเล่นไม่น้อย ทำเอาเราสองคนนึกอยากโขกหัวตัวเองที่มาเจอแหล่งช้อปใกล้ที่พักเอาวันสุดท้าย

แต่สิ่งที่ทำให้อยากเขกหัวตัวเองซ้ำอีกคือห้างโตคิวฮันส์ พอมาถึงแล้วไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราพลาดห้างนี้ไปได้ยังไง ตาม concept ของเค้าข้างต้นที่ว่าเป็น creative life store นี่ ต้องถือว่าที่นี่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะอัดแน่นไปด้วยสารพัดสินค้าหลากไอเดีย ทั้งที่ให้เราซื้ออุปกรณ์ต่างๆ ไปประดิษฐ์เอง ไปจนถึงสินค้าสำเร็จรูป

ใครรักใครชอบงานประเภท DIY ต้องมีอันกระเป๋าบางกันคราวนี้ ทั้งอุปกรณ์เย็บปัก ทำงานฝืมือ scrapbook งานไม้ อุปกรณ์ทำขนม โอ๊ย… สารพัดจะบรรยาย

เราถึงกับตั้งปณิธานว่า ถ้าได้มาญี่ปุ่นอีก คราวหน้าจะไปเยือนโตคิวฮันส์สาขาต้นตำหรับที่ชิบุย่าให้จงได้

แม้จะไม่อยากทำใจลา แต่ก็ถึงเวลาต้องไป เรากลับไปโรงแรมเพื่อลากกระเป๋าเดินทางหนักอึ้งไปขึ้นรถ Airport Limo

ถึง Crowne Plaza เหลือเวลานิดหน่อยเลยฝากกระเป๋าไว้แล้วเดินข้ามถนนมาร้าน MOS Burger เพื่อจิบกาแฟก่อนจากสักหนึ่งถ้วย

***

รถ Airport Limo พาเรามาส่งถึงสนามบินเรียบร้อย ได้เวลากลับบ้าน เวลา 5 วันกว่าๆ ในซัปโปโรและโตเกียวผ่านไปไวอย่างกับโกหก แม้จะเหนื่อย หนาว (บ้าง) เมื่อย ล้า แต่เวลาทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ

อีกครั้ง ขอบคุณประเทศญี่ปุ่นกับประสบการณ์ดีๆ และ またね! (แล้วพบกันใหม่)

 

หนาวนี้ที่ซัปโปโร ตอนที่ 9

เดินเที่ยวซึมซับประวัติศาสตร์ของยุคเอโดะมาทั้งช่วงเช้าแล้ว บ่ายนี้เลยขอไปพักผ่อนหย่อนใจบนเกาะสร้างใหม่อย่างโอไดบะกันบ้างค่ะ

โอไดบะเป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นค่ะ แล้วก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหย่อนใหญ่สำหรับหนุ่มสาวและครอบครัวชาวโตเกียว ด้วยโอไดบะมีทั้งห้างสรรพสินค้า สวนสาธารณะริมทะเล สถานีโทรทัศน์ Fuji ออนเซ็นต์ธีมปาร์ค พิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ Miraikan ไปจนถึง Joypolis (สวนสนุกของ SEGA) ฯลฯ

fujiball

フジテレビ

เริ่มต้นจากหาอาหารกลางวันกันก่อน หลังจากชิมอาหารญี่ปุ่นมาหลายมื้อ มื้อนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศเป็นอาหารจีนกันบ้าง ก็ได้ยินว่าที่ Decks Tokyo Beach นี่เค้ามีโซน Little Hong Kong ที่จำลองบรรยากาศและแสงสีแบบฮ่องกงมาให้เห็นกัน ผนวกกับความอยากกินเกี๊ยวซ่า

ไปถึงยังไม่ทันเดินสำรวจร้าน เพื่อนร่วมทางของฉันก็ไปนั่งที่ร้านแล้ว เอานะ ร้านนี้ก็ได้ ร้านไหนก็เหมือนกันเวลาหิว เราสั่งเกี๊ยวซ่า บะหมี่น้ำ และโจ๊ก แต่กว่าจะสั่งอาหารได้ก็เล่นเอาเมื่อยมือ เพราะน้องเค้าฟังภาษาอังกฤษไม่ออก เอาแต่จะพูดภาษาจีนกับเราอย่างเดียว พอเราว่าเราไม่เข้าใจภาษาจีน เธอก็พูดญี่ปุ่นแทน แต่เอาเถอะ ยังไงก็ได้อาหารกลางวันมากินสมใจ ไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าได้มาลองแล้วกัน

พออิ่มแล้วก็ขอเดินสำรวจห้าง Decks เสียหน่อย ที่นี่จะมีเกมส์ต่างๆ ให้เล่นค่อนข้างเยอะค่ะ อย่างโซนหนึ่งชื่อว่า Muscle Park ก็จะมีเกมส์ที่ต้องใช้แรงสักหน่อยในการเล่น รูปแบบอย่างกับเกมส์โชว์ยังไงยังงั้น คือมีพิธีกรใส่ headphone คอยบรรยายไปด้วย แถมยังมีบรรดาญี่ปุ่นมุงมาดูอีกตะหาก ฉันเดินผ่านโซนเกมสไตล์ศึกวัดใจสไตล์บูชิโดที่เคยโด่งดังทางช่อง UBC หลายเกมดูน่าสนุก แต่เห็นว่าถ้าเข้าไปเล่นอาจจะสื่อสารกับพนักงานเค้าไม่รู้เรื่อง คราวนี้เลยขอเป็น “ผู้ชม” ไปก่อน

ไหนๆ มาถึงโอไดบะทั้งที ก็ขอเดินเล่นสบายๆ ชมวิวสะพานเรนโบว์ อ่าวโตเกียว และเทพีเสรีภาพค่ะ อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ที่โอไดบะเค้าก็รูปปั้นเทพีเสรีภาพเหมือนกัน เพียงแต่เป็นขนาดย่อมลงมากว่าที่เกาะลิเบอร์ตี้ รูปปั้นเทพีนี้ทางฝรั่งเศสนำมาให้กับญี่ปุ่นในระหว่างปี 1998 ถึง 1999 ประมาณว่าให้ยืม ในช่วงปีที่เป็นการฉลอง The French Year in Japan พอเค้าจะเอาคืน ญี่ปุ่นเลยสร้างขึ้นมาเป็นของตัวเอง กลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโอไดบะ

liberty

french lady in tokyo

มานึกดูเล่นๆ ฉันเจอกับคุณเทพีเสรีภาพมาสองครั้งสองคราแล้ว แต่ทั้งสองครั้งเธอไม่ได้อยู่ที่แมนฮัตตันค่ะ ครั้งแรกเราพบกันขณะล่องเรือไปตามแม่น้ำแซนกลางกรุงปารีส เธอยืนตระหง่านอยู่บนเกาะ ile de Cygnes ใกล้กับ ile de la cite อันเป็นที่ตั้งของมหาวิหาโนเตรอดาม มาคราวนี้คุณเทพีเธอยังมาปรากฏตัวที่โตเกียวอีก ชีพจรลงเท้าไม่ใช่เล่น ฉันได้แต่หวังว่าคงมีโอกาสไปเยี่ยมเยียนเธอที่บ้านในนิวยอร์คสักครั้ง

หากการเดินเล่นชมวิวและซึมซับบรรยากาศริมเม่น้ำยังไม่หนำใจพอล่ะก็ ตามฉันมาที่สถานีโทรทัศน์ฟุจิเลยค่ะ ขอเรียกว่าฟุจิเทเลบิ ตามที่คนญี่ปุ่นเค้าเรียกก็แล้วกัน ลองนึกๆ ดู ตอนอยู่เมืองไทยเราก็ไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวสถานีโทรทัศน์อย่างช่อง 3 ช่อง 5 กันสักครั้ง เฉียดที่สุดก็แค่ตอนนั่งรถผ่าน คราวนี้เราบุกเข้าไปในสถานีกันเลยค่ะ

escalator

ทางขึ้น

ที่ญี่ปุ่นนี่ สถานที่ต่างๆ มักมีตัวมัสคอทเป็นของตัวเอง ฟุจิเทเลบิก็เช่นกัน เราจะเห็นน้องหมาสีฟ้าหน้าตากวนๆ คอยต้อนรับอยู่ใกล้บันไดเลื่อนขึ้นสู่อาคารสถานี ที่นี่จริงๆ แล้วจะมีนำชมภายในสถานีด้วย แต่เราไปถึงตอนเค้าใกล้จะปิดแล้ว เลยอดไปโดยปริยาย ดีที่ว่ายังพอมีเวลาขึ้นไปบนหอชมวิวลูกโลก (ส่วนนี้ต้องซื้อบัตรเข้าชมนะจ๊ะ) เคยอ่านในไกด์บุ๊คบางเล่มบอกไว้ว่าถ้าไม่อยากเสียสตางค์ให้ขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 24 แทน แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ ขึ้นไปตามนั้นได้หรือเปล่านะคะ

Observation Deck หรือจุดชมวิวนี้ ต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 25 ส่วนของจุดชมวิวก็คือเจ้าลูกบอลยักษ์สัญลักษณ์ของตึกฟุจิเทเลบินี่แหละค่ะ ลูกบอลนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 32 เมตร น้ำหนัก 1200 ตัน และสามารถใช้ชมวิวได้ 270 องศา จากจุดนี้จะมองเห็นวิวของอ่าวโตเกียวและสะพานเรนโบว์ได้เป็นอย่างดีค่ะ

viewfromtop

view from the top สะพานเรนโบว์และหอคอยโตเกียว

ดูวิวเพลินๆ สักพัก แวะร้านของที่ระลึกของสถานีโทรทัศน์ที่ช่างสร้างสรรของที่ระลึกเก๋ๆ จากรายการทีวีและละครมาดูดเงินนักท่องเที่ยว  แล้วเราก็บอกลาสถานีโทรทัศน์ฟุจิ และโอไดบะ แผนจะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ใกล้ๆ วีนัสฟอร์ตมีอันพับเก็บไป เพราะตอนนี้เราเริ่มหิว (อีก) แล้ว แถมยังต้องเตรียมซื้อของฝากคนที่บ้านอีกด้วย เราตกลงใจไปชินจุกุกันค่ะ

มาญี่ปุ่นทุกครั้งต้องมีอันมาแวะชินจุกุ มาทีไรหลงทุกที ไม่รู้เป็นยังไง แต่จนแล้วจนรอดก็หาทางมาร้านเทมปุระชื่อดัง Tsunahachi จนได้ ความพยายามเรื่องกินของเราไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว สาขาที่เราไปคือสาขาบนห้าง Shinjuku Keio ร้านตั้งอยู่บริเวณชั้น 8 ซึ่งเป็นโซนที่รวมร้านอาหารต่างๆ มาไว้ด้วยกัน ได้ยินชื่อ Tsunahachi มาจากหนังสือไกด์บุ๊ค เค้าว่าสาขาดั้งเดิมคนจะแน่น เราเลยเลือกมาสาขาที่ไม่ต้องแย่งที่นั่งกับคนอื่นดีกว่า ไหนๆ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ขอนั่งสบายๆ บ้างก็ดี

เราเลือกนั่งกันตรงเคาน์เตอร์ (จากประสบการณ์เยือนญี่ปุ่นครั้งก่อน ยาบุจิซังพาเราไปกินเทมปุระแสนอร่อย ที่พ่อครัวบรรจงทอดเทมปุระทีละอย่างแล้วทยอยวางลงบนจานตรงหน้าเรา) คิดว่ายังไงๆ ก็ต้องได้ชิมเทมปุระร้อนๆ ที่พ่อครัวคีบจากกระทะมาไว้บนจานเรา หลังจากลังเลสักครู่ เราก็เลือกสั่งชุดเล็ก กะว่าถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวสั่ง a la carte เพิ่มเอาดีกว่า ในชุดเล็ก (ซึ่งจริงๆ ก็ไม่เล็กสักเท่าไหร่) ประกอบไปด้วยกุ้งเทมปุระ ปลาไหลทอด กุ้งเล็กชุบแป้ง ผักทอด ข้าว และซุป

ส่วนซอสเทมปุระก็ไม่ต่างจากบ้านเราค่ะ เค้ามีไชเท้าบดใหม่ๆ ให้เติมลงในซอส และมีเกลือชนิดต่างๆ ให้เลือกด้วย รู้แต่ว่าเกลือสีเขียวคือเกลือผสมผงมัชฉะ (ชาเขียว) ส่วนสีอื่นไม่แน่ใจว่าคืออะไร นั่งตรงเคาน์เตอร์ดีตรงที่ได้ดูพอครัวลงมือทำอาหารตรงหน้า เพลินๆ หลังพ่อครัวเป็นตู้ปลา มีกุ้งเป็นๆ ว่ายน้ำอยู่ ระหว่างที่เพลินๆ กันอยู่นั้น เราก็เหลือบไปเห็นคุณพ่อครัวจับปลาไหลขึ้นมา เอานิ้วโป้งกดหัวมันลงกับเขียง เจ้าปลาไหลยังดิ้นไปมาอยู่เลย เราสองคนหน้าตาเลิ่กลั่กทันที หันหาเข้าหากัน เพราะไม่อยากดูภาพตรงหน้าต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น… นั่นไงล่ะ อยากนั่งตรงเคาน์เตอร์ดีนัก

tembpura

ebi tempura

แล้วเทมปุระหน้าตาหน้ากินก็ถูกลำเลียงลงในจานด้านหน้าเราค่ะ ที่นี่เค้าจะทอดไปเสิร์ฟไป ไม่ได้มาพร้อมกันทั้งเซ็ทอย่างบ้านเรา อาหารจึงยังร้อนและกรอบอร่อยเป็นอย่างยิ่ง ใครชอบเทมปุระขอบอกว่าอย่าพลาดเด็ดขาดค่ะ เสียที่ว่ามื้อนี้เรากินอย่างไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เพราะเจ้าปลาไหลตัวนั้น…

ก่อนกลับโรงแรมที่พัก ตั้งใจว่าวันนี้จะกินเค้กญี่ปุ่นให้ได้ ก็แหมเค้กของญี่ปุ่นเนี่ยเค้าอร่อยเหนือใครจริงๆ ยิ่งสมัยก่อนตอนติดตามดูรายการทีวีแชมเปี้ยนด้วยแล้ว ได้เห็นเค้กเลิศๆ ก็เกิดอาการฝังใจ มาญี่ปุ่นทุกครั้งต้องแวะเดปาจิกะ (ร้านขายอาหารบริเวณชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่รวบรวมเอาร้านเด็ดมาไว้ด้วยกัน) แต่ครั้งนี้เราแวะร้านกาแฟแทนเพราะอยากหาที่นั่งอ้อยอิ่งอีกสักหน่อย ก็คืนนี้มันคืนสุดท้ายที่โตเกียวแล้วนี่นา

ทั้งๆ ที่ยังอิ่มอยู่เราก็ยังอุตส่าห์สั่งมงบลองค์มาแบ่งกันชิมกับชาร้อนอีกหนึ่งถ้วย มงบลองค์หน้าตาดี แต่รสชาติปานกลาง แม้จะดึกประมาณ 4 ทุ่มแล้ว คนยังเต็มร้านอยู่เลย ฉันแอบนึกเล่นๆ ว่าดึกป่านนี้ยังมาดื่มกาแฟกันอีก แล้วเค้าจะนอนกันตอนไหนนะ

montblanc

 mont blanc & my cup of tea

ดึกแล้ว ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย อยากยืดเวลาคืนสุดท้ายในโตเกียวออกไปอีกสักหน่อย แต่ที่สุดแล้วงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เวลาสนุกๆ (ผสมเหนื่อยๆ เพลียๆ) ของเรากำลังจะจบลง เรานั่งรถไฟใต้ดินกลับไปยังที่พักใกล้สถานี Ikebukuro

ikebukuro

 i-ke-bu-ku-ro

หมดวัน หมดแรง แต่ก็ต้องเตรียมเก็บของ เตรียมกลับบ้าน ฉับพับเสื้อผ้าเก็บลงกระเป๋า ทำใจพลัดพรากจากโบรชัวร์ที่เก็บมาบางส่วน เพราะไม่อยากให้กระเป๋าหนักจนเกินไป แน่นอนว่าประสบการณ์หลายวันที่ผ่านมาก็เข้าไปเก็บอยู่ในความทรงจำของฉันไปด้วยโดยปริยาย

หนาวนี้ที่ซัปโปโร ตอนที่ 8

เมื่อคืนก็ยังคงคิดแล้วคิดอีกว่าจะไปนิกโก้ดีหรือเปล่า ด้วยว่าตั้งใจตั้งแต่ก่อนมาว่าจะไปศาลเจ้าโทโชกุให้จงได้ แต่จนแล้วจนรอดก็มีอันแผนล่ม จากไปย้อนยุคที่เมืองมรดกโลกนิกโก้ เปลี่ยนเป็นย้อนยุคที่โตเกียวไปในสมัยเอโดะแทน

เราจะไปเที่ยว Edo-Tokyo Museum กันค่ะ ส่วนโปรแกรมบ่ายเป็นการเที่ยวเกาะ ไม่ใช่ที่ไหนไกลหรอกค่ะ เกาะที่ว่าก็คือโอไดบะชานกรุงโตเกียวนี่เอง

พร้อมแล้วก็ลุยกันเลยดีกว่า เริ่มจากอาหารเช้าใกล้ที่พักกันก่อน เราแวะร้านข้าวหน้าเนื้อ Yoshinoya ร้านอาหาร fastfood แบบญี่ปุ่นราคาเยาว์ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากับป้ายร้านสีส้ม ไปร้านข้าวหน้าเนื้อแต่ไม่กินเนื้อ แถมดูลาดเลาแล้วคุณพี่พนักงานแกไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเสียด้วย เลยต้องระลึกชาติ เอ้ย ระลึกภาษาญี่ปุ่นที่เคยเรียนไปนิดๆ หน่อยๆ มาถามพี่แก “บุต๊ะวะ อาริมัสก๊ะ” ท่าทางเจ๊แกจะเข้าใจ เลยได้ข้าวหน้าหมูมากิน อร่อยใช้ได้ค่ะ แถมแอบดีใจนิดๆ ที่ภาษาญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่นของฉันใช้หา(ของ)กินได้

yoshinoya

ป้ายนี้มีของอร่อย ราคาย่อมเยาว์ (ตามมาตรฐานญี่ปุ่น)

อิ่มแล้วก็ออกเดินทางจากสถานี Ikebukuro ใกล้ที่พัก เราซื้อตั๋วแบบ 1 day pass สำหรับรถไฟใต้ดิน Metro (ขอบอกว่าไม่คุ้มอย่างมากสำหรับเส้นทางที่เราไปในวันนี้ เพราะตั๋ว pass จะมีให้เลือกหลายแบบ และแต่ละแบบจะรวมสายรถใต้ดินไม่ครบทุกสาย ฉะนั้นทางที่ดีควรศึกษาเส้นทางที่ต้องการไปให้ดีก่อนนะคะ จะได้ประหยัดเงินได้จริงๆ)

ก่อนมาเที่ยวก็อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Edo-Tokyo Museum มาบ้าง เค้าว่าเป็นพิพิทธภัณฑ์ที่ดูง่าย น่าสนใจ และสนุก ถ้าคุณเคยไปมิวเซียมสยามมาแล้ว ก็ขอบอกว่าเป็นอารมณ์เดียวกัน เรียกได้ว่า Edutainment คือได้ความรู้ด้วยแถมการจัดแสดงก็น่าสนใจ เข้าใจได้ง่าย

ว่าแล้วเรามาทำความรู้จักโตเกียวกันดีกว่า การทำความรู้จักโตเกียว ก็เหมือนการทำความรู้จักใครสักคนหนึ่ง การที่จะรู้ว่าคนคนนั้นมีนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะอะไร ก็คงต้องดูย้อนไปถึงอดีตของเขา เช่นเดียวกันกับโตเกียว เราทั้งหลายคนอาจจะสงสัยว่าเมืองที่ครั้งหนึ่งเสียหายยับเยินจากพิษสงครามโลก แถมยังมีภัยธรรมชาติคุกคาม จะกลายเป็นหนึ่งในเมืองมหาอำนาจที่สำคัญอย่างที่โตเกียวเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไร

ด้วยความโชคดีของเรา เราได้ไกด์ฟรีอีกครั้งค่ะ จริงๆ แล้วบริการไกด์นี้จะต้องมีการจองล่วงหน้า แต่บังเอิญว่าเราไปถึงพิพิทธภัณฑ์ค่อนข้างเช้า ไกด์เค้าก็ยังว่างอยู่ เลยถือโอกาสใช้บริการเสียเลย ยังไงแล้วมีไกด์คอยอธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจ ดีกว่าฟังออดิโอไกด์เป็นไหนๆ

อ่อ ที่นี่เค้าคิดค่าเข้าชมนิทรรศการทั่วไปคนละ 600 เยนค่ะ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวขอให้พกเอาพวกแผ่นพับที่หยิบได้ตาม tourist information ไปด้วย เพราะบางอันจะมีคูปองส่วนลดให้ ลดเหลือ 480 เยน สำหรับนิทรรศการพิเศษที่มีหมุนเวียนไปเรื่อยๆ จะมีค่าเข้าชมเพิ่มเติมค่ะ

เริ่มจากการขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 6 กันเลย (เคาน์เตอร์ไกด์อาสาสมัครก็อยู่ที่ชั้นนี้ค่ะ) เราก้าวข้ามผ่านสะพาน Nihonbashi ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของทางหลวงเข้าสู่กรุงเอโดะ หรือโตเกียวในปัจจุบัน ในอดีตผู้คนจากทางตะวันออกที่จะเดินทางเข้าสู่โตเกียวจะต้องข้ามสะพานแห่งนี้ สะพานจำลองภายในพิพิทธภัณฑ์สร้างตามขนาดจริงของสะพาน Nihombashi ดั้งเดิมในสมัยเอโดะ ทั้งในแง่ของความกว้างและความสูง ส่วนความยาวมีการลดทอนลงครึ่งหนึ่งให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ของพิพิทธภัณฑ์ (มีการสร้างสะพานหินมาแทนที่สะพานไม้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1911)

ในส่วนแรก ก็จะเป็นการจัดแสดงเรื่องราวชีวิตของชาวเอโดะ อันรวมไปถึงการปกครองในสมัยนั้นซึ่งเป็นยุคที่โชกุนเรืองอำนาจ เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินชื่อท่านโตกุกาว่า อิเอยาสุกันมาแล้ว (ก็สุสานของท่านอยู่ที่เมืองนิกโก้ที่ฉันตั้งจะไปจะเที่ยว แต่มีอันแผนล่มนั่นแล) ในสมัยเอโดะ จักรพรรดิประทับอยู่ที่เกียวโต ในขณะที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองคือเอโดะ แต่ละหัวเมืองก็จะมีเจ้าผู้ครองเมืองหรือไดเมียวเป็นผู้ปกครอง ท่านโชกุนก็จะรวบรวมอำนาจโดยที่ไดเมียวทั้งหลายจะต้องเดินทางเข้ามายังเอโดะเพื่อมา “รายงานตัว” แก่ท่านโชกุน

ในเวลานั้น เอโดะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่งก็เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนหลากหลายชั้นวรรณะอยู่รวมกัน โดยแบ่งเขตที่อยู่อาศัยของแต่ละชนชั้นอย่างชัดเจน เชื่อหรือไม่ว่าวรรณะต่ำที่สุดของเขาคือพวกพ่อค้าค่ะ

นิทรรศการในส่วนนี้มีการจัดแสดงทั้งภาพวาดซึ่งแสดงอาณาเขตของเอโดะซึ่งที่ตรงศูนย์กลางจะเป็นภาพปราสาทของท่านโชกุน (มุมมองของชนชั้นปกครองที่ว่าปราสาทของตนคือศูนย์กลาง) แบบจำลองที่พักอาศัยของท่านไดเมียว ฯลฯ

ความเจริญอย่างหนึ่งของเอโดะคือการมีระบบชลประทาน มีการวางท่อส่งน้ำไปยังส่วนต่างๆ ของเมือง ท่อน้ำที่ใช้เป็นท่อไม้ค่ะ มุมหนึ่งของนิทรรศการแสดงถึงทีมนักดับเพลิงในสมัยนั้น ว่าแต่ทำไมต้องนำเสนอเรื่องนักดับเพลิง คุณไกด์ก็อธิบายว่าสมัยนั้นการเกิดเพลิงไหม้เป็นภัยคุกคามที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากบ้านเรือนต่างๆ สร้างด้วยกระดาษและไม้อันเป็นเชื้อไฟอย่างดี ภัยธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหวมักจะนำมาซึ่งภัยร้ายอย่างอัคคีภัยที่ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสังเกตุดูที่ภาพวาดของทีมนักดับเพลิงจะเห็นว่าหลายคนจะมีรอยสักตามตัว ซึ่งเชื่อว่ารอยสักเหล่านั้นจะช่วยให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไม่ต่างจากความเชื่อแบบไทย อย่างไรก็ดี รอยสักในความคิดของคนญี่ปุ่นปัจจุบันมักจะเชื่อมโยงกับแก็งยากูซ่า ทำให้ออนเซ็นหลายแห่งในปัจจุบันไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีรอยสักเข้าใช้บริการ

edo

ชีวิตบนถนน สมัยเอโดะ

ประเทศญี่ปุ่นในความคิดของฉันไม่ต่างจากตุ๊กตาล้มลุก หลายต่อหลายครั้งที่ประเทศต้องประสบกับภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและสงคราม ความเสียหายและความสูญเสียแต่ละครั้งนั้นช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่คนญี่ปุ่นก็สามารถนำพาชาติให้ผ่านพ้น และฟื้นตัวขึ้นมาได้ ความพยายามและความอดทน ผนวกกับความคิดสร้างสรรของคนญี่ปุ่นจึงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่ง

กลับเข้าเรื่องชมนิทรรศการกันต่อดีกว่าค่ะ คุณไกด์บอกว่าทางพิพิทธภัณฑ์จัดให้มีสิ่งของที่นำมาจัดแสดงบางส่วนที่ผู้เข้าชมสามารถลองจับ ถือดูได้ การที่เราได้ “ลงมือ” จับสิ่งของต่างๆ ทำให้ผู้ชมสนุกสนานมากขึ้น อย่างเช่นหีบบรรจุเงิน (แผ่นทอง) ที่ใช้กันในสมัยเอโดะ ก็มีการทำจำลองไว้ให้ได้ลองยกกันจริงๆ คุณไกด์บอกว่าคนดูชอบมากเพราะเคยเห็นหีบแบบนี้ในละครย้อนยุคกันก็เลยอยากลองยกกันดูบ้าง

สิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของสมัยเอโดะคือในสมัยนั้นมีผู้รู้หนังสือเป็นจำนวนมาก คิดเป็นจำนวนประมาณ 80% ของประชากรชาย และ 25% สำหรับประชากรหญิง ดังนั้นจึงมีการพิมพ์หนังสือต่างๆ ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อ่าน

นอกจากการพิมพ์หนังสือแล้ว สมัยเอโดะยังถือว่าเป็นยุคทองของภาพ Ukiyo-e หรือภาพพิมพ์ไม้ (woodblock print) ซึ่งเราได้มารู้วิธีทำก็ที่นี่เองค่ะ โดยศิลปินจะแกะแบบแม่พิมพ์ไม้เป็นส่วนต่างๆ ของรูป ส่วนหนึ่งก็ใช้แม่พิมพ์ชิ้นหนึ่ง แล้วจึงนำมาพิมพ์ลงบนกระดาษ ด้วยการใช้แม่พิมพ์แบบนี้ ศิลปินสามารถเปลี่ยนรายละเอียดของภาพให้แตกต่างกันได้ เช่น เปลี่ยนสีหน้าของตัวละครในภาพ โดยการเปลี่ยนแม่พิมพ์เพียงบางชิ้น

ukiyo-e

ตัวอย่างแม่พิมพ์ของภาพ Ukiyo-e

bookshop

ร้านหนังสือสมัยเอโดะ มีภาพพิมพ์ Ukiyo-e ขายด้วย ภาพ Ukiyo-e ที่นิยมก็มีทั้งภาพวิวทิวทัศน์ต่างๆ ภาพตัวละครคะบุกิ และภาพซูโม่เป็นต้น

ในแง่ของศิลปะการแสดง ละครคะบุกิ 歌舞伎 ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคเอโดะ ในช่วงต้นนั้นคะบุกิแสดงโดยนักแสดงหญิงหญิงทั้งหมด แต่ภายหลังคะบุกิถูกมองว่าเป็นการแสดงที่ก่อให้เกิดความไม่เหมาะสมทางด้านศีลธรรม ชื่อเสียงจึงกลายเป็นชื่อเสีย นักแสดงคะบุกิจึงเปลี่ยนเป็นผู้ชายทั้งหมด เว้นเสียแต่บทของเด็กซึ่งบางครั้งก็ยังให้เด็กผู้หญิงเป็นผู้แสดงได้

นอกจากนี้ สมัยเอโดะ ยังเป็นช่วงที่มีการค้าขายเฟื่องฟู ซึ่งได้มีการจำลองร้านค้าต่างๆ ให้ได้เห็น รวมไปถึงร้านกิโมโนชื่อดังอย่าง Echigoya ซึ่งปัจจุบันก็กลายเป็นห้าง Mitsukoshi สรรพสินค้าชั้นนำของญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง

kimono-shopping

จำลองบรรยากาศการเลือกซื้อกิโมโนที่ “Mitsukoshi”

คุณไกด์พาเราเดินเที่ยวมาเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จบนิทรรศการยุคเอโดะ เธอถามเราว่าสนใจจะเดินต่อไหม ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สำหรับนิทรรศการส่วนต่อไป แน่นอนว่าเราขอเดินชมต่อค่ะ

เมื่อเวลาหมุนผ่านเลยไป อำนาจของโชกุนก็เสื่อมลง จักรพรรดิเมจินำพาประเทศเข้าสู่ช่วงของการเปิดประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าความที่ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจชาวต่างชาติในสมัยเอโดะ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงปิดประเทศของญี่ปุ่น กลับตรงข้ามกับสมัยเมจิอย่างสิ้นเชิง วัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้ชัดเจนจากสถาปัตยกรรมต่างที่เป็นแบบตะวันตก (ยังจำ Red Brick ที่ Sapporo ได้หรือเปล่าเอ่ย) การแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงทรงผมค่ะ จากเดิมที่ชายญี่ปุ่นจะไว้ผมแบบโกนข้างหน้าแล้วมัดปลายขึ้นมา กรุณานึกภาพทรงผมแบบซามูไรประกอบ ก็เปลี่ยนมาเป็นแบบสากลมากขึ้น

meiji

ชีวิตบนถนนสมัยเมจิ

แม้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ความน่าสนใจอยู่ที่ แม้ตึกใหญ่ๆ จะสร้างเป็นแบบตะวันตก ชาวบ้านทั่วๆ ไปก็ยังไม่ทิ้งวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไปเสียทีเดียว เรียกว่ายังมีการสร้างบ้านแบบญี่ปุ่นอยู่ ยังปูพื้นด้วยเสื่อตาตามิ (แม้กระทั่งในปัจจุบัน เชื่อว่าคนญี่ปุ่นก็ยังรักเสื่อตาตามิกันอยู่ และยังเรียกขนาดของห้องตามขนาดเสื่อ แทนที่จะเป็นตารางเมตร)

ในสมัยเมจิญี่ปุ่นเดินหน้าเข้าสู่ความทันสมัย เมื่อหมดยุคเมจิก็ก้าวเข้าสู่ยุคไทโช Taishou ในปี 1912 แต่ความเจริญก็สะดุดลงอีกครั้งด้วยสงครามโลกครั้งที่ 1

โตเกียวและญี่ปุ่นผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนถึงปัจจุบัน ความสูญเสีย ความไม่มั่นคงแน่นอน ความเจริญ และเสื่อมสลายมีมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ญี่ปุ่นก็ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

การเดินทางผ่านยุคสมัยของเราและคุณไกด์ในวันนี้ก็จบลง เราคุยกันนอกเรื่องนิดหน่อย โดยคุณไกด์บอกว่าอยากมาเที่ยวเมืองไทยสักครั้งเหมือนกัน อยากมาลองชิมต้มข่าไก่แบบต้นตำหรับเสียหน่อย หวังว่าคุณไกด์คงได้มาเที่ยวเมืองไทยของเราสักครั้งเหมือนกัน

เที่ยวมาทั้งช่วงเช้า แถมเล็กเชอร์เล็กๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เหนื่อยกันหรือยังเอ่ย เอาเป็นว่าพักครึ่งก่อนนะคะ แล้วไปลุยกันต่อที่โอไดบะในตอนต่อไป