เมื่อคืนก็ยังคงคิดแล้วคิดอีกว่าจะไปนิกโก้ดีหรือเปล่า ด้วยว่าตั้งใจตั้งแต่ก่อนมาว่าจะไปศาลเจ้าโทโชกุให้จงได้ แต่จนแล้วจนรอดก็มีอันแผนล่ม จากไปย้อนยุคที่เมืองมรดกโลกนิกโก้ เปลี่ยนเป็นย้อนยุคที่โตเกียวไปในสมัยเอโดะแทน
เราจะไปเที่ยว Edo-Tokyo Museum กันค่ะ ส่วนโปรแกรมบ่ายเป็นการเที่ยวเกาะ ไม่ใช่ที่ไหนไกลหรอกค่ะ เกาะที่ว่าก็คือโอไดบะชานกรุงโตเกียวนี่เอง
พร้อมแล้วก็ลุยกันเลยดีกว่า เริ่มจากอาหารเช้าใกล้ที่พักกันก่อน เราแวะร้านข้าวหน้าเนื้อ Yoshinoya ร้านอาหาร fastfood แบบญี่ปุ่นราคาเยาว์ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากับป้ายร้านสีส้ม ไปร้านข้าวหน้าเนื้อแต่ไม่กินเนื้อ แถมดูลาดเลาแล้วคุณพี่พนักงานแกไม่เข้าใจภาษาอังกฤษเสียด้วย เลยต้องระลึกชาติ เอ้ย ระลึกภาษาญี่ปุ่นที่เคยเรียนไปนิดๆ หน่อยๆ มาถามพี่แก “บุต๊ะวะ อาริมัสก๊ะ” ท่าทางเจ๊แกจะเข้าใจ เลยได้ข้าวหน้าหมูมากิน อร่อยใช้ได้ค่ะ แถมแอบดีใจนิดๆ ที่ภาษาญี่ปุ่นกระท่อนกระแท่นของฉันใช้หา(ของ)กินได้
ป้ายนี้มีของอร่อย ราคาย่อมเยาว์ (ตามมาตรฐานญี่ปุ่น)
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางจากสถานี Ikebukuro ใกล้ที่พัก เราซื้อตั๋วแบบ 1 day pass สำหรับรถไฟใต้ดิน Metro (ขอบอกว่าไม่คุ้มอย่างมากสำหรับเส้นทางที่เราไปในวันนี้ เพราะตั๋ว pass จะมีให้เลือกหลายแบบ และแต่ละแบบจะรวมสายรถใต้ดินไม่ครบทุกสาย ฉะนั้นทางที่ดีควรศึกษาเส้นทางที่ต้องการไปให้ดีก่อนนะคะ จะได้ประหยัดเงินได้จริงๆ)
ก่อนมาเที่ยวก็อ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Edo-Tokyo Museum มาบ้าง เค้าว่าเป็นพิพิทธภัณฑ์ที่ดูง่าย น่าสนใจ และสนุก ถ้าคุณเคยไปมิวเซียมสยามมาแล้ว ก็ขอบอกว่าเป็นอารมณ์เดียวกัน เรียกได้ว่า Edutainment คือได้ความรู้ด้วยแถมการจัดแสดงก็น่าสนใจ เข้าใจได้ง่าย
ว่าแล้วเรามาทำความรู้จักโตเกียวกันดีกว่า การทำความรู้จักโตเกียว ก็เหมือนการทำความรู้จักใครสักคนหนึ่ง การที่จะรู้ว่าคนคนนั้นมีนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะอะไร ก็คงต้องดูย้อนไปถึงอดีตของเขา เช่นเดียวกันกับโตเกียว เราทั้งหลายคนอาจจะสงสัยว่าเมืองที่ครั้งหนึ่งเสียหายยับเยินจากพิษสงครามโลก แถมยังมีภัยธรรมชาติคุกคาม จะกลายเป็นหนึ่งในเมืองมหาอำนาจที่สำคัญอย่างที่โตเกียวเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อย่างไร
ด้วยความโชคดีของเรา เราได้ไกด์ฟรีอีกครั้งค่ะ จริงๆ แล้วบริการไกด์นี้จะต้องมีการจองล่วงหน้า แต่บังเอิญว่าเราไปถึงพิพิทธภัณฑ์ค่อนข้างเช้า ไกด์เค้าก็ยังว่างอยู่ เลยถือโอกาสใช้บริการเสียเลย ยังไงแล้วมีไกด์คอยอธิบายเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจ ดีกว่าฟังออดิโอไกด์เป็นไหนๆ
อ่อ ที่นี่เค้าคิดค่าเข้าชมนิทรรศการทั่วไปคนละ 600 เยนค่ะ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวขอให้พกเอาพวกแผ่นพับที่หยิบได้ตาม tourist information ไปด้วย เพราะบางอันจะมีคูปองส่วนลดให้ ลดเหลือ 480 เยน สำหรับนิทรรศการพิเศษที่มีหมุนเวียนไปเรื่อยๆ จะมีค่าเข้าชมเพิ่มเติมค่ะ
เริ่มจากการขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 6 กันเลย (เคาน์เตอร์ไกด์อาสาสมัครก็อยู่ที่ชั้นนี้ค่ะ) เราก้าวข้ามผ่านสะพาน Nihonbashi ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของทางหลวงเข้าสู่กรุงเอโดะ หรือโตเกียวในปัจจุบัน ในอดีตผู้คนจากทางตะวันออกที่จะเดินทางเข้าสู่โตเกียวจะต้องข้ามสะพานแห่งนี้ สะพานจำลองภายในพิพิทธภัณฑ์สร้างตามขนาดจริงของสะพาน Nihombashi ดั้งเดิมในสมัยเอโดะ ทั้งในแง่ของความกว้างและความสูง ส่วนความยาวมีการลดทอนลงครึ่งหนึ่งให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ของพิพิทธภัณฑ์ (มีการสร้างสะพานหินมาแทนที่สะพานไม้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1911)
ในส่วนแรก ก็จะเป็นการจัดแสดงเรื่องราวชีวิตของชาวเอโดะ อันรวมไปถึงการปกครองในสมัยนั้นซึ่งเป็นยุคที่โชกุนเรืองอำนาจ เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินชื่อท่านโตกุกาว่า อิเอยาสุกันมาแล้ว (ก็สุสานของท่านอยู่ที่เมืองนิกโก้ที่ฉันตั้งจะไปจะเที่ยว แต่มีอันแผนล่มนั่นแล) ในสมัยเอโดะ จักรพรรดิประทับอยู่ที่เกียวโต ในขณะที่ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองคือเอโดะ แต่ละหัวเมืองก็จะมีเจ้าผู้ครองเมืองหรือไดเมียวเป็นผู้ปกครอง ท่านโชกุนก็จะรวบรวมอำนาจโดยที่ไดเมียวทั้งหลายจะต้องเดินทางเข้ามายังเอโดะเพื่อมา “รายงานตัว” แก่ท่านโชกุน
ในเวลานั้น เอโดะที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งหนึ่งก็เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนหลากหลายชั้นวรรณะอยู่รวมกัน โดยแบ่งเขตที่อยู่อาศัยของแต่ละชนชั้นอย่างชัดเจน เชื่อหรือไม่ว่าวรรณะต่ำที่สุดของเขาคือพวกพ่อค้าค่ะ
นิทรรศการในส่วนนี้มีการจัดแสดงทั้งภาพวาดซึ่งแสดงอาณาเขตของเอโดะซึ่งที่ตรงศูนย์กลางจะเป็นภาพปราสาทของท่านโชกุน (มุมมองของชนชั้นปกครองที่ว่าปราสาทของตนคือศูนย์กลาง) แบบจำลองที่พักอาศัยของท่านไดเมียว ฯลฯ
ความเจริญอย่างหนึ่งของเอโดะคือการมีระบบชลประทาน มีการวางท่อส่งน้ำไปยังส่วนต่างๆ ของเมือง ท่อน้ำที่ใช้เป็นท่อไม้ค่ะ มุมหนึ่งของนิทรรศการแสดงถึงทีมนักดับเพลิงในสมัยนั้น ว่าแต่ทำไมต้องนำเสนอเรื่องนักดับเพลิง คุณไกด์ก็อธิบายว่าสมัยนั้นการเกิดเพลิงไหม้เป็นภัยคุกคามที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากบ้านเรือนต่างๆ สร้างด้วยกระดาษและไม้อันเป็นเชื้อไฟอย่างดี ภัยธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหวมักจะนำมาซึ่งภัยร้ายอย่างอัคคีภัยที่ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสังเกตุดูที่ภาพวาดของทีมนักดับเพลิงจะเห็นว่าหลายคนจะมีรอยสักตามตัว ซึ่งเชื่อว่ารอยสักเหล่านั้นจะช่วยให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ไม่ต่างจากความเชื่อแบบไทย อย่างไรก็ดี รอยสักในความคิดของคนญี่ปุ่นปัจจุบันมักจะเชื่อมโยงกับแก็งยากูซ่า ทำให้ออนเซ็นหลายแห่งในปัจจุบันไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีรอยสักเข้าใช้บริการ
ชีวิตบนถนน สมัยเอโดะ
ประเทศญี่ปุ่นในความคิดของฉันไม่ต่างจากตุ๊กตาล้มลุก หลายต่อหลายครั้งที่ประเทศต้องประสบกับภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติและสงคราม ความเสียหายและความสูญเสียแต่ละครั้งนั้นช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่คนญี่ปุ่นก็สามารถนำพาชาติให้ผ่านพ้น และฟื้นตัวขึ้นมาได้ ความพยายามและความอดทน ผนวกกับความคิดสร้างสรรของคนญี่ปุ่นจึงเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างหนึ่ง
กลับเข้าเรื่องชมนิทรรศการกันต่อดีกว่าค่ะ คุณไกด์บอกว่าทางพิพิทธภัณฑ์จัดให้มีสิ่งของที่นำมาจัดแสดงบางส่วนที่ผู้เข้าชมสามารถลองจับ ถือดูได้ การที่เราได้ “ลงมือ” จับสิ่งของต่างๆ ทำให้ผู้ชมสนุกสนานมากขึ้น อย่างเช่นหีบบรรจุเงิน (แผ่นทอง) ที่ใช้กันในสมัยเอโดะ ก็มีการทำจำลองไว้ให้ได้ลองยกกันจริงๆ คุณไกด์บอกว่าคนดูชอบมากเพราะเคยเห็นหีบแบบนี้ในละครย้อนยุคกันก็เลยอยากลองยกกันดูบ้าง
สิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของสมัยเอโดะคือในสมัยนั้นมีผู้รู้หนังสือเป็นจำนวนมาก คิดเป็นจำนวนประมาณ 80% ของประชากรชาย และ 25% สำหรับประชากรหญิง ดังนั้นจึงมีการพิมพ์หนังสือต่างๆ ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อ่าน
นอกจากการพิมพ์หนังสือแล้ว สมัยเอโดะยังถือว่าเป็นยุคทองของภาพ Ukiyo-e หรือภาพพิมพ์ไม้ (woodblock print) ซึ่งเราได้มารู้วิธีทำก็ที่นี่เองค่ะ โดยศิลปินจะแกะแบบแม่พิมพ์ไม้เป็นส่วนต่างๆ ของรูป ส่วนหนึ่งก็ใช้แม่พิมพ์ชิ้นหนึ่ง แล้วจึงนำมาพิมพ์ลงบนกระดาษ ด้วยการใช้แม่พิมพ์แบบนี้ ศิลปินสามารถเปลี่ยนรายละเอียดของภาพให้แตกต่างกันได้ เช่น เปลี่ยนสีหน้าของตัวละครในภาพ โดยการเปลี่ยนแม่พิมพ์เพียงบางชิ้น
ตัวอย่างแม่พิมพ์ของภาพ Ukiyo-e
ร้านหนังสือสมัยเอโดะ มีภาพพิมพ์ Ukiyo-e ขายด้วย ภาพ Ukiyo-e ที่นิยมก็มีทั้งภาพวิวทิวทัศน์ต่างๆ ภาพตัวละครคะบุกิ และภาพซูโม่เป็นต้น
ในแง่ของศิลปะการแสดง ละครคะบุกิ 歌舞伎 ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคเอโดะ ในช่วงต้นนั้นคะบุกิแสดงโดยนักแสดงหญิงหญิงทั้งหมด แต่ภายหลังคะบุกิถูกมองว่าเป็นการแสดงที่ก่อให้เกิดความไม่เหมาะสมทางด้านศีลธรรม ชื่อเสียงจึงกลายเป็นชื่อเสีย นักแสดงคะบุกิจึงเปลี่ยนเป็นผู้ชายทั้งหมด เว้นเสียแต่บทของเด็กซึ่งบางครั้งก็ยังให้เด็กผู้หญิงเป็นผู้แสดงได้
นอกจากนี้ สมัยเอโดะ ยังเป็นช่วงที่มีการค้าขายเฟื่องฟู ซึ่งได้มีการจำลองร้านค้าต่างๆ ให้ได้เห็น รวมไปถึงร้านกิโมโนชื่อดังอย่าง Echigoya ซึ่งปัจจุบันก็กลายเป็นห้าง Mitsukoshi สรรพสินค้าชั้นนำของญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง
จำลองบรรยากาศการเลือกซื้อกิโมโนที่ “Mitsukoshi”
คุณไกด์พาเราเดินเที่ยวมาเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จบนิทรรศการยุคเอโดะ เธอถามเราว่าสนใจจะเดินต่อไหม ใช้เวลาประมาณ 30 นาที สำหรับนิทรรศการส่วนต่อไป แน่นอนว่าเราขอเดินชมต่อค่ะ
เมื่อเวลาหมุนผ่านเลยไป อำนาจของโชกุนก็เสื่อมลง จักรพรรดิเมจินำพาประเทศเข้าสู่ช่วงของการเปิดประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าความที่ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจชาวต่างชาติในสมัยเอโดะ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงปิดประเทศของญี่ปุ่น กลับตรงข้ามกับสมัยเมจิอย่างสิ้นเชิง วัฒนธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น จะเห็นได้ชัดเจนจากสถาปัตยกรรมต่างที่เป็นแบบตะวันตก (ยังจำ Red Brick ที่ Sapporo ได้หรือเปล่าเอ่ย) การแต่งกายที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงทรงผมค่ะ จากเดิมที่ชายญี่ปุ่นจะไว้ผมแบบโกนข้างหน้าแล้วมัดปลายขึ้นมา กรุณานึกภาพทรงผมแบบซามูไรประกอบ ก็เปลี่ยนมาเป็นแบบสากลมากขึ้น
ชีวิตบนถนนสมัยเมจิ
แม้ชีวิตของชาวญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ความน่าสนใจอยู่ที่ แม้ตึกใหญ่ๆ จะสร้างเป็นแบบตะวันตก ชาวบ้านทั่วๆ ไปก็ยังไม่ทิ้งวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมไปเสียทีเดียว เรียกว่ายังมีการสร้างบ้านแบบญี่ปุ่นอยู่ ยังปูพื้นด้วยเสื่อตาตามิ (แม้กระทั่งในปัจจุบัน เชื่อว่าคนญี่ปุ่นก็ยังรักเสื่อตาตามิกันอยู่ และยังเรียกขนาดของห้องตามขนาดเสื่อ แทนที่จะเป็นตารางเมตร)
ในสมัยเมจิญี่ปุ่นเดินหน้าเข้าสู่ความทันสมัย เมื่อหมดยุคเมจิก็ก้าวเข้าสู่ยุคไทโช Taishou ในปี 1912 แต่ความเจริญก็สะดุดลงอีกครั้งด้วยสงครามโลกครั้งที่ 1
โตเกียวและญี่ปุ่นผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนถึงปัจจุบัน ความสูญเสีย ความไม่มั่นคงแน่นอน ความเจริญ และเสื่อมสลายมีมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แต่ญี่ปุ่นก็ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
การเดินทางผ่านยุคสมัยของเราและคุณไกด์ในวันนี้ก็จบลง เราคุยกันนอกเรื่องนิดหน่อย โดยคุณไกด์บอกว่าอยากมาเที่ยวเมืองไทยสักครั้งเหมือนกัน อยากมาลองชิมต้มข่าไก่แบบต้นตำหรับเสียหน่อย หวังว่าคุณไกด์คงได้มาเที่ยวเมืองไทยของเราสักครั้งเหมือนกัน
เที่ยวมาทั้งช่วงเช้า แถมเล็กเชอร์เล็กๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เหนื่อยกันหรือยังเอ่ย เอาเป็นว่าพักครึ่งก่อนนะคะ แล้วไปลุยกันต่อที่โอไดบะในตอนต่อไป